😭 ในอนาคตการอยู่อาศัยจะกระจุกอยู่แค่ในตัวเมือง ส่วนต่างจังหวัดบ้านอยู่อาศัยจะซบเซาและมีอาคารร้างมากขึ้น
โดยถึงแม้บทบาทของอสังหาฯ ต่อเศรษฐกิจไทยจะมีจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่การที่ภาคอสังหาฯ ชะลอตัวต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังกลุ่มธุรกิจเกี่ยวเนื่องในภาคอสังหาฯ และภาคการเงินผ่านกลุ่มธนาคารและตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อคุณภาพทรัพย์สินมากขึ้น
ปัจจัยขับเคลื่อนเปลี่ยนทิศทาง อสังหาฯ ไทยกำลังจะชะลอตัว
ในอดีตตั้งแต่ช่วงปี 1970-2022 มีหลายปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของภาคอสังหาฯ ในประเทศไทยมาโดยตลอด เช่น จำนวนประชากรไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องระหว่างปี 1970-2022 อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และอัตราขยายตัวของเมื่องที่สูง ส่งผลให้ขนาดของภาคอสังหาฯ ไทยมีสัดส่วนมากถึง 20% ของ GDP ในช่วงที่ผ่านมา
1. จำนวนประชากรไทยที่โตช้าลงเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มจะหดตัวในปี 2030 โดยจากข้อมูลของ KKP จำนวนประชากรในกลุ่มที่มีแนวโน้มจะซื้อบ้าน (อายุ 25-54 ปี) ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และในอีก 20 ปีข้างหน้า ประชากรช่วงอายุ 25-34 ปีจะหดตัวมากถึง 2.1 ล้านคน หรือหายไป 21% จากจำนวนปัจจุบัน ทำให้ความต้องการซื้อบ้านของคนไทยโดยรวมจะลดลง
2. การขยายตัวของสังคมเมืองมีแนวโน้มชะลอตัว เพราะภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการของไทยไม่สามารถเติบโตได้ดีเท่ากับในอดีตและอาจชะลอตัวลงหากแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศชะลอตัวตามภาวะ Deglobalization ส่งผลให้การย้ายแรงงานไปยังภาคอุตสาหกรรมและบริการมีแนวโน้มชะลอตัวได้ในอนาคต
โดยตั้งแต่ปี 2000 การขยายพื้นที่เขตเมืองออกไปยังต่างจังหวัดมีบทบาทน้อยต่อการเพิ่มขึ้นของ Urbanization ที่ทำให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะประเทศไทยเป็นเมืองโตเดี่ยว (Primate City) ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่แค่ในกรุงเทพฯ ซึ่งส่งผลให้การย้ายถิ่นฐานของประชากรมีบทบาทมากกว่า
นอกจากนี้ แรงงานภาคเกษตรในปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 30% ของแรงงานทั้งหมด โดยมากกว่าครึ่งมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งมีแนวโน้มจะเปลี่ยนถิ่นฐานน้อยกว่าวัยทำงาน ส่งผลให้การย้ายถิ่นฐานจากชนบทมายังพื้นที่เมืองของแต่ละจังหวัดมีแนวโน้มชะลอลงในระยะข้างหน้า
4. ดอกเบี้ยที่สูง ทำให้ตลาดบ้านขยายตัวได้จำกัด ในช่วงที่ผ่านมาดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาดอกเบี้ยเริ่มเปลี่ยนเป็นทิศทางขาขึ้น และอาจไม่กลับไปต่ำเหมือนในอดีตจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลายประการ ซึ่งจะลดกำลังซื้อและเพิ่มภาระหนี้ให้กับกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง ในขณะที่ฝั่งผู้ซื้อสำหรับการลงทุนปล่อยเช่าอาจจะขยายตัวได้ยากขึ้นตามต้นทุนที่สูงขึ้นและภาวะการเงินที่มีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์อาจปรับกฏเกณฑ์การพิจารณาปล่อยกู้ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาคครัวเรือนไทยเข้าสู่ภาวะการลดภาระหนี้ในระบบที่เรียกว่า Deleveraging Cycle ซึ่งอาจส่งผลให้การบริโภคสินค้าคงทนรวมทั้งบ้านจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยช่วงขาลงของวัฏจักรสินเชื่อในประเทศญี่ปุ่น อเมริกาและ อังกฤษใช้เวลาถึง 1-2 ทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีแนวโน้มที่จะซบเซาลงทั่วประเทศเนื่องจาก 5 ปัจจัยดังกล่าว แต่อสังหาฯในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ยังมีศักยภาพขยายต่อได้ เพราะหลายปัจจัยในการกำหนดทิศทางภาคอสังหาฯของกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีความแตกต่างจากภาพรวมประเทศไทย และยังมีแรงสนับสนุนจาก 3 ปัจจัย คือ
1. การย้ายถิ่นฐานของประชากรจากนอกเมืองมายังเมืองใหญ่ เพราะแหล่งงาน การศึกษาและ การแพทย์กระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ ส่งผลให้จำนวนครัวเรือนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลขยายตัวได้มากถึง 5.6% ในขณะที่จำนวนครัวเรือนในภาคเหนือไม่โตและภาคอีสานกลับหดตัวเฉลี่ย -1.2% ในช่วงปี 2012-2021 การย้ายถิ่นของประชากรจึงเป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯใหม่ๆ
2. การขยายส่วนต่อของเส้นทางรถไฟฟ้าไปยังชานเมืองกรุงเทพฯและปริมณฑล เพราะเส้นทางรถไฟจะเพิ่มศักยภาพให้กับหลายทำเล ทำให้สามารถพัฒนาโครงการอสังหาฯ ได้สอดคล้องกับกำลังซื้อคนไทยมากกว่าในตัวเมืองที่มีราคาสูง สะท้อนจากอสังหาฯ แถบชานเมืองกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ตามความหนาแน่นประชากรที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม KKP ยังมองว่าภาคอสังหาฯ ไทยยังคงมีความเสี่ยงสำคัญ เพราะแรงซื้อต่างชาติมากกว่าครึ่งมาจากจีน ซึ่งลงทุนซื้ออสังหาฯ เพื่อมาปล่อยเช่ามากกว่ามาอยู่จริง สะท้อนจากอัตรา House price-to-rent ของไทยอยู่ในระดับสูงซึ่งสะท้อนว่าอุปสงค์ที่แท้จริง (Real Demand)
นอกจากนี้ ไทยยังไม่ใช่ตัวเลือกอันดับหนึ่งในเอเชียสำหรับชาวจีน เพราะกลุ่มคนรวยที่มีกำลังซื้อสูงมักเลือกย้ายไปสิงคโปร์หรือญี่ปุ่นมากกว่าไทย ในขณะที่ชาวจีนบางกลุ่มเลือกมาไทย เพราะราคาบ้านและค่าเทอมโรงเรียนนานาชาติในไทยมีราคาถูกเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งการแข่งขันด้วยราคาอาจไม่ใช่จุดแข็งที่ยั่งยืนสำหรับอสังหาฯ ไทยในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม แตกต่างจากอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อสังหาฯ ในเมืองรองและเขตชนบทมีแนวโน้มซบเซา เสี่ยงราคาตกสูงเพราะความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดเล็กหดตัวลงเพราะมีคนย้ายไปเมืองใหญ่มากขึ้น ส่งผลให้จะมีจำนวนบ้านเหลือมากขึ้นและเป็นแรงกดดันให้ราคาบ้านปรับลดลงได้ในอนาคต เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นและจีนที่ประสบปัญหาราคาบ้านแถบชนบทหดตัว
โดยในปัจจุบัน ตลาดอสังหาฯ ในชนบทเริ่มเห็นตัวเลขปริมาณอุปทานของบ้านมากกว่าจำนวนครัวเรือนแล้ว ซึ่งสวนทางกับกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่จำนวนบ้านในตลาดยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด
ในกรณีของประเทศญี่ปุ่น นับตั้งแต่ญี่ปุ่นมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 10% ภาคอสังหาฯ ของญี่ปุ่นในจังหวัดเล็กชะลอตัวอย่างหนักจนมีจำนวนบ้านร้างมากกว่า 8 ล้านหลังหรือคิดเป็น 15% ของจำนวนบ้านทั้งหมด กดดันให้ราคาบ้านในญี่ปุ่นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งถือเป็นตัวอย่างให้กับหลายประเทศที่กำลังเผชิญกับวิกฤตประชากร
1. วิกฤตอสังหาฯ ญี่ปุ่นไม่เกิดจากเพียงโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปแต่ยังถูกซ้ำเติมจากภาวะฟองสบู่แตก ในขณะที่โอกาสที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์อีกรอบของไทยยังมีจำกัด
2. บทบาทของภาคอสังหาฯ ต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมน้อยกว่าญี่ปุ่นมาก โดยภาคอสังหาฯ มีมูลค่าประมาณ 10% ของ GDP ส่วนหนึ่งจากการเข้าถึงสินเชื่อบ้านของคนไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยมีสัดส่วนมูลค่าหนี้บ้านอยู่เพียงแค่ 35% ของมูลค่าหนี้ทั้งหมด ทำให้การชะลอตัวของภาคอสังหาฯ และราคาบ้านจะส่งผลกระทบจำกัดต่อรายได้และเศรษฐกิจโดยรวม เพราะยังคงมีแหล่งรายได้จากอุตสาหกรรมอื่นมาสนับสนุนการเติบโตของภาคอสังหาฯ ต่อได้
3. การจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินในญี่ปุ่นมีความเข้มงวด กดดันให้เกิดแรงเทขายบ้านในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลให้ปัญหา Oversupply ทวีความรุนแรงมากขึ้น ราคาบ้านจึงต้องปรับตัวลดลงตาม ในขณะที่อัตราการจัดเก็บภาษีในไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้โอกาสที่ราคาอสังหาฯ ในไทยจะลดลงอย่างรุนแรงเหมือนญี่ปุ่นในอดีตมีค่อนข้างน้อย
นอกจากนี้ การชะลอตัวลงของภาคอสังหาฯ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อคุณภาพสินทรัพย์ และ Collateral Value เนื่องจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีมูลค่ามากกว่า 30% ของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมด และยังเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับผู้พัฒนาอสังหาฯ นอกจากนี้ภาคอสังหาฯ ยังเป็นธุรกิจที่มีการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ที่มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง ทำให้หากเกิดการชะลอตัวอย่างรุนแรงอาจส่งผลต่อเนื่องสู่ตลาดการเงินได้
ขอบคุณข้อมูลจาก amarintv
https://www.amarintv.com/spotlight/economy/detail/49401