ความรู้

ความรู้

❤️ ถึงว่า...ใครๆก็ถามหา คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ไหม? คนไทยยุคใหม่เป็น Pet Parent เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก

วันที่สร้างประกาศ เวลาสร้าง 13 มีนาคม 2567 14:02
The 1 Insight และ CRC VoiceShare เผยว่า ในปี 2567 ภาพรวมตัวเลขการเลี้ยงสัตว์ในบ้านมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคหลังโควิดเป็นต้นมา สวนทางกับอัตราการเกิดของประชากรไทยที่ลดลงในทุกๆ ปี

ที่น่าสนใจ คือ ยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตเลข 2 หลักต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ล่าสุดเติบโต 14%

ในปี 2566 จากฐานข้อมูล The 1 บ่งชี้ว่าผู้เลี้ยงสัตว์ในบ้านมักมีแนวโน้มที่จะมีฐานะและเป็นกลุ่มลูกค้ามูลค่าสูง (High-value users: HVUs)

โดย 65% เป็นกลุ่ม Pet Parent ที่มีพฤติกรรมเลี้ยงสัตว์เหมือนลูก มีค่าใช้จ่ายรายเดือนต่อสัตว์เลี้ยงแต่ละตัวเฉลี่ยถึง 1-2 หมื่นบาทต่อปี

พร้อมเจาะพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ตามแต่ละช่วงวัย พบว่า Gen Y ขึ้นแท่นทาสแมวอันดับ 1 ส่วน Gen Z ใช้จ่ายกับผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงเติบโตสูงสุด 46%
อีกทั้งยังเผยเทรนด์ธุรกิจเพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงที่กำลังมาแรง อาทิ อาหารสัตว์เกรดโฮลิสติก และ Pet Wellness Center บริการดูแลและรักษาสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของพฤติกรรมการใช้จ่าย พบว่า ตัวเลขยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับแมวนั้นคิดเป็น 63 % ของยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ทั้งหมด

เนื่องจากสินค้าสำหรับแมวมีความหลากหลายที่ตอบโจทย์ความต้องการของเหล่า Pet Parent กว่าสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นๆ

โดยสินค้าที่มียอดขายสูงสุดในทุกหมวดสัตว์เลี้ยง ได้แก่
- อาหารและขนมสำหรับแมว
- ทรายแมว
- ห้องน้ำแมว

นอกจากนี้ยังพบแนวโน้มการขยายตัวของจำนวนผู้เลี้ยงสัตว์ Exotic อาทิ ปลา กระต่าย และนก เป็นต้น

สะท้อนผ่านตัวเลขการใช้จ่ายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง Exotic ที่เติบโตสูงกว่า 50%

ในขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับแมวเติบโตอยู่ที่ 8% และยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสุนัขเติบโตอยู่ที่ 6%

ในส่วนของแบรนด์ที่มียอดขายสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มแบรนด์ยอดนิยม ได้แก่ วิสกัส เพดดิกรี สมาร์ทฮาร์ท สมาร์ทเตอร์ และมีโอ

ในขณะเดียวกัน ด้วยเทรนด์ Pet Parent ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผู้เลี้ยงสัตว์บางกลุ่มเริ่มให้ความสำคัญและลงทุนกับ ‘อาหารสัตว์เกรดโฮลิสติก’ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในระยะยาวมากกว่า

แบรนด์ในกลุ่มนี้จึงมียอดขายเติบโตกว่า 20 เท่าในช่วงปี 2566 ไม่ว่าจะเป็นโอริเจน คานาแกน โยร่า แฮปปี้ ด็อก นูเทรียนซ์ เป็นต้น

โดยแบรนด์เหล่านี้มักพบได้ใน ‘ร้านขายของสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ’ อาทิเช่น เพ็ทแอนด์มี (Pet ’n Me) ซึ่งมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2566

ในขณะที่ยอดขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปและช่องทางอี-คอมเมิร์ซต่างๆ ยังคงมีการเติบโตคงที่
ขอบคุณข่าวจาก Today Bizview

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=726441496286963&id=100067633569590

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ดูหัวข้ออื่นเพิ่มเติม