🧐ไขความความต่างระหว่าง Yield และ ROI ในการลงทุนอสังหาฯ วัดผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า และการขายอย่างแม่นยำ
🐻Ex : มี net พิมพ์ถาม แต่ไม่ค่อยใช้ net เข้า google เน๊อะ 🤨
🐮AG : คือ...หนูอ่านแล้วไม่เข้าใจอ่ะ เวลาพี่อธิบายหนูดันเข้าใจ 😅
🐻Ex : อือจ่ะ ภาระกูซะงั้น...อ่ะมา เดี๋ยวจะเหลาให้ฟัง 🙄
Yield และ ROI
เป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่ใช้วัดผลตอบแทนจากการลงทุน แต่มีความแตกต่างกัน ในด้านการคำนวณและการนำไปใช้
มาเริ่มกันที่ Yield ก่อนละกัน #Yield คืออัตราผลตอบแทน ที่ได้รับจากการลงทุน ในรูปแบบของกระแสเงินสด เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล เทียบกับมูลค่าการลงทุน
1.Gross Rental Yield
ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่เหมาะกับผู้ที่มีเงินเย็น หรือจ่ายเงินพร้อมสำหรับการซื้อสินทรัพย์ #โดยไม่ต้องทำการกู้ซื้อ
ตัวอย่าง : ซื้อคอนโดมา 10,000,000 บาท ได้รับค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท
Yield = ( 50,000 x 12 / 10,000,000) x 100 = 6 %
ได้รับผลตอบแทน 6% ต่อปี จากการลงทุนคอนโดปล่อยเช่า
ถ้าเป็น Net Yield ก็หักลบค่าส่วนกลางไป 1 เดือนค่านายหน้าอีก 1 เดือน (ถุ้ามี) สุทธิจะได้ค่าเช่าอยู่ที่ 10 เดือน
Yield = ( 50,000 x 10 / 10,000,000) x 100 = 5 %
เมื่อหักลบค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว ได้รับผลตอบแทน 5% ต่อปี
ต่อมาเรามาดูที่ ROI (Return on Investment) กัน #ROI คือผลตอบแทนรวมจากการลงทุนเทียบกับต้นทุนการลงทุน โดยคำนึงถึงกำไรหรือขาดทุน จากมูลค่าของสินทรัพย์
เอาไว้ใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนโดยรวม รวมถึงการซื้อขายสินทรัพย์ หรือการเอาไปทำประโยชน์อื่นๆ
ยกตัวอย่าง : ซื้อคอนโดมา 10,000,000 บาท แต่สุดท้ายขายได้ที่ 15,000,000 บาท
ROI = (15,000,000 - 10,000,000 / 10,000,000) X 100 = 50%
ความหมายคือ การที่เราซื้อคอนโดมา 10 ล้าน แล้วปล่อยขายได้ที่ 15 ล้าน ROI เราจะอยู่ที่ 50 %
ดังนั้นจะเห็นว่า ความแตกต่างของ Yield กับ ROI นั้น อยู่ในหมวดของการเอามาคำนวนผลตอบแทนเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงการนำไปใช้ในการคำนวน
Yield เหมาะสำหรับวัดผลตอบแทนประจำปี เช่น ดอกเบี้ยหรือเงินปันผล
ROI เหมาะสำหรับวัดความคุ้มค่าของการลงทุนโดยรวม ทั้งกำไรและขาดทุน
ทีนี้เข้าใจรึยัง ว่าการที่เราจะหาผลตอบแทนอะไรสักอย่างแบบไหนจะต้องใช้ Yield แบบไหนจะต้องใช้ ROI