ถ้าเชื่อว่า “อสังหาฯ ขึ้นตลอด” คุณอาจกำลังจ่ายภาษีให้กับ ‘ความเชื่อ’
2.ที่ดินใหม่สร้างไม่ได้อีกแล้ว
3.โครงสร้างพื้นฐานที่ขยายศูนย์กลางเศรษฐกิจ และ
4.รายได้ของผู้คนในบางอาชีพที่ย้ายเข้ามากระจุกตัว
บางปีราคาถอยเพราะดอกเบี้ยสูงจนคนกู้ไม่ไหว
แรงส่งที่แท้จริง ไม่ใช่ความหวัง
สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนสมการผลตอบแทน
สิ่งเหล่านี้กันเสื่อมราคาได้ดีกว่า “ติดสถานีแต่ไม่มีงาน”
อาจต่ำกว่ากองทุนตราสารหนี้เสียอีก
ตัวอย่างที่ 1 : ซอยเล็กแต่หนาแน่นด้วยงาน
ทำให้พื้นที่ใช้ประโยชน์พุ่ง มูลค่าที่ดินขยับตามค่าเช่าร้านที่เพดานสูงขึ้นทุกปี
นี่คือ “ขึ้นเพราะใช้ประโยชน์ได้สูงกว่าเดิมจริง”
พอสร้างเสร็จทั้งย่านมี supply หลาย 1,000 ยูนิต ปล่อยเช่าแข่งกันจน yield บาง
โครงการใหม่ ๆ ถัดไปอัดส่วนกลางหนักกว่าเดิม ทำให้ Resale รุ่นแรก ๆ ต้องยอมขายเท่าทุนหรือขาดทุนเล็กน้อย นี่คือ “ภาวะนิ่งยาว” ไม่ใช่ “ขึ้นเรื่อย ๆ”
มากกว่า “สโลแกนใหญ่ของเมือง”
1️⃣ งานมาจากไหน
2️⃣ ใครจ่ายเงินค่าเช่าเราได้จริง
3️⃣ ซัพพลายใหม่เข้าได้อีกเท่าไร
4️⃣ โครงสร้างพื้นฐานไหน “จะเปิดเมื่อไหร่และเปิดจริงไหม”
5️⃣ และสินทรัพย์แบบที่เราจะถือ “จะตกยุคเร็วหรือช้า”
✅กระแสเงินสดสุทธิ,
✅การเพิ่มขึ้นของราคา,
✅การลดหนี้ต้น และ
✅การเพิ่มมูลค่าจากการปรับปรุง
ถ้าไม่มีคำตอบที่ตรวจสอบได้ แปลว่านั่นคือความหวัง ไม่ใช่แผนการลงทุน
✅อัตราว่างเช่าในย่าน
✅ระยะเวลาประกาศขายเฉลี่ยของสินทรัพย์คล้ายกัน
✅ส่วนลดที่เกิดขึ้นจริงหน้าห้องโอน
✅อัตราการขึ้นค่าจ้างในอุตสาหกรรมที่เป็นฐานผู้เช่า
✅งบและ Timeline โครงสร้างพื้นฐาน ที่ “ลงนามแล้ว” ไม่ใช่ข่าวเล่าต่อกัน
ขอใช้คำตอบสั้นๆตามข้อมูลที่มี #ไม่จริงเสมอไป
จนต้นทุนการถือแซงผลตอบแทน
⭐ถือด้วยกระแสเงินสด
⭐ปรับด้วยคุณค่าใช้งาน
⭐และขายด้วยวินัย
แล้วคุณจะพบว่า “การขึ้นของราคาอสังหา” เป็นผลพลอยได้จากระบบคิด ไม่ใช่ของขวัญจากเวลา
ถ้าถือเพื่อสร้างผลตอบแทน : คุณต้องทำให้ “เวลามีงานทำ” ทั้งค่าเช่า การลดหนี้ และการเพิ่มมูลค่า