แชร์ประสบการณ์

แชร์ประสบการณ์

นิทานอสังหา EP.2: ใกล้รถไฟฟ้า...แต่ไกลชีวิตที่ดี

matching
วันที่สร้างประกาศ เวลาสร้าง 23 กรกฎาคม 2568 16:58
กรทำงานไอที ในบริษัทเอกชนย่านอโศกชีวิตกำลังไปได้ดี เงินเดือนเริ่มขยับ มีโบนัสปีละ 2 ครั้ง

เพื่อนหลายคนเริ่มทยอยซื้อบ้าน ซื้อคอนโดกันไปส่วนเขายังอยู่หอพักเช่าเก่า ๆ ย่านอินทามระ ตู้เสื้อผ้าหลังเดิม กับแอร์ที่ต้องเคาะรีโมทก่อนเปิด ประกอบกับตัวเองอายุ 30 กว่าแล้ว มันทำให้เขาเริ่มถามตัวเอง
“เมื่อไหร่เราจะมีบ้านเป็นหลักปักฐานกับเขาบ้าง?”
แล้วคำตอบก็มาถึง ในงานมหกรรมบ้านและคอนโดบูธหนึ่งสะดุดตาเขาเป็นพิเศษ คอนโดเปิดใหม่ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วงปลายทาง เดินจากสถานี 3 นาที โปรแรงสุดในรอบปี ฟรีทุกอย่าง กู้เต็ม ผ่อนเบา ๆ เริ่ม 7,900 ต่อเดือน
“มีเงินเดือน 32,000 ก็กู้ได้!”
“อีก 3 ปี ราคาขึ้นแน่นอนพี่”
“ตอนนี้คือจังหวะทอง!”
เซลส์หน้าบูทพูดมั่นใจ เขาหยิบแผ่นพับมาพลิกดูรูปห้องมองเห็นวิวตึกสูง ตัดกับรางรถไฟฟ้าที่ทอดผ่านไกล ๆ เงาสะท้อนของเขาในกระจก ทำให้จินตนาการลอยไกลไปถึงวันยืนจิบกาแฟบนระเบียง

เขาไป survey ดูที่ทางมาวันนึง เขาจึงตัดสินใจกลับมาวางจองทันที ทั้งๆที่คอนโดยังสร้างไม่เสร็จดี
โดยที่กรคิดว่า ถึงแม้จะห่างจากที่ทำงานไปนิดแต่อยู่ใกล้รถไฟฟ้า ก็น่าจะเดินทางสะดวกอยู่
วันโอนมาถึงเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ห้องใหม่เอี่ยม เฟอร์ครบ วิวชั้น 7 กำลังดีเขาถ่ายรูปพวงกุญแจห้องในมือ แล้วโพสต์บน Facebook ด้วยแคปชันว่า
“บ้านหลังแรกในชีวิต...เริ่มต้นจากศูนย์ แต่เรามาได้ถึงนี่แล้ว”
ยอด Like ถล่มทลาย คอมเมนต์จากเพื่อนฝูงเต็มไปด้วยคำยินดี
แม่โทรมาบอกว่า

“ดีใจนะลูก บ้านหลังแรกของเรา”
เขารู้สึกเหมือนกลายเป็น “ผู้ใหญ่” อย่างเต็มตัว

ชีวิตในคอนโดใหม่ช่วงแรกเหมือนฝัน ห้องเงียบสงบ สะอาด มีกลิ่นใหม่ของวัสดุปูพื้น ยามหน้าตึกยิ้มแย้ม รปภ.โบกรถให้ตลอด เพื่อนบ้านมีไม่กี่คน ทุกอย่างดูเป็นระเบียบ
แต่นั่นแค่สองสัปดาห์แรกจากนั้น ความว่างเปล่า ก็ค่อย ๆ เข้ามาโดยไม่ให้สัญญาณ
ร้านอาหารใกล้ที่สุดห่างออกไป 1.8 กิโล ไม่มีตลาด ไม่มีเซเว่น ไม่มีร้านข้าวแกง จะกินอะไรต้องขี่มอเตอร์ไซค์ออกนอกพื้นที่ หรือรอ Grab ที่มาส่งผิดตึกบ่อย ๆ

กรใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน เดินทางด้วยรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วน ยืนอัดแน่นกับคนแปลกหน้าจนไม่กล้าขยับไหล่ พอเป็นแบบนี้ทุกวัน ร่างกายเริ่มเหนื่อย
แต่ใจยังบอกว่า "อดทนไว้ นี่คือบ้านของเรา"
6 เดือนต่อมา กรได้ยินข่าวช็อก บริษัทประกาศย้ายออฟฟิศจากอโศกไปบางนา และเขาก็โดนโยกตามทีม

ระยะทางจากคอนโดถึงที่ทำงานใหม่ ต้องเพิ่มการเดินทางรถไฟฟ้าไปอีก 9 สถานี
การเดินทางเพิ่มไปอีกราว 15 นาที และต้องต่อวินมอไซต์เข้าไปที่ออฟฟิสอีก รวมเวลาเดินทางเช้า-เย็นวันละเกือบ 4 ชั่วโมง

เขาต้องตื่นตี 5.30 กลับถึงห้องเกือบสามทุ่ม ค่ารถไฟฟ้าพุ่งเกือบ 3,000 ต่อเดือน ค่าวิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง... มื้อเย็นหลายวันกินมาม่ากับไข่ต้ม

เขาเริ่มหมดแรงแม้แต่จะนั่งคิดบัญชี จนทำให้กรคิดว่าย้ายไปอยู่ห้องเช่าใกล้ๆที่ทำงานน่าจะดีกว่านี้
1 ปีผ่านไป ห้องที่เคยภูมิใจ เริ่มกลายเป็นที่พักคืนละไม่กี่ชั่วโมงเตียงใหม่เอี่ยมกลายเป็นแค่ที่นอน ที่เขาไม่ได้มีเวลาใช้ชีวิตกับมัน
ห้องครัวที่มีไมโครเวฟใหม่เอี่ยม
ไม่มีเศษขนมปัง
ไม่มีข้าวกล่องเหลือ
มีแต่อากาศเงียบ ๆ กับไฟหัวเตียงที่เปิดทิ้งไว้
กรเริ่มมีความคิดว่า...

"นี่เรากำลังอยู่ในบ้านของตัวเอง หรืออยู่ในกับดักของคำว่าเจ้าของ?"
ห้องคอนโดของกรยังอยู่ที่เดิมเครื่องดูดควันยังใหม่โซฟาก็ยังมีพลาสติกหุ้ม แต่ตัวเขา...ย้ายไปอยู่ห้องเช่าแถวอุดมสุขเรียบร้อยแล้ว

ห้องเช่าเล็ก ๆ ไม่มีวิว ไม่มีความหรูหรา แต่ใช้เวลาเดินทางไปทำงานไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเช่าเดือนละ 5,800 รวมค่าน้ำค่าไฟ ก็ยังถูกกว่าค่าผ่อนคอนโด

ทุกเช้า จากที่ต้องตื่นตี 5 ครึ่ง เป็นการตื่น 7 โมงเช้าเดินออกไปกินข้าวต้มร้านป้าแดงหน้าปากซอย แล้วขึ้นรถตู้ไปออฟฟิศพร้อมกาแฟถุงละ 25 บาท
ไม่ต้องเปลี่ยนรถ 3 สาย
ไม่ต้องเบียด
ไม่ต้องแย่งประตูรถไฟฟ้า
ชีวิตที่เคยหนัก เริ่มเบาลงในความเรียบง่ายกับค่ารถไฟฟ้ารวมกันหลายเท่า
แต่เขายังมีหนี้หนี้จากคอนโดที่ไม่ค่อยอยู่หนี้จากความฝันที่ยังไม่ตื่นดี
ทุกวันที่เงินเดือนเข้า เขาต้องโอนเงินก้อนหนึ่งกลับไปยังธนาคาร ยอดหนี้ยังเหลืออีก 1.79 ล้าน ในขณะที่ผ่านมาสี่ปีเต็ม เขาจ่ายดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 280,000 ต้นเงินลดไปไม่ถึงแสน

เขาเคยลองประกาศขายคอนโดแต่ราคาในตลาดลดลงกว่าตอนซื้อคนที่มาดูก็พูดเบา ๆ
“วิวดีนะครับ แต่รอบข้างไม่มีร้านอะไรเลย”
“ไกลไปนิด”
“ลองลดอีกได้มั้ย?”
เขารู้ดีว่า “ลดอีก” หมายถึง “ขายขาดทุนหลักแสน” แล้วถ้าไม่ขาย เขาก็ต้องผ่อนต่อเหมือนจ่ายค่าห้องพักให้กับคนที่ไม่มีวันกลับมา เขาเคยปล่อยเช่าราคาต่ำกว่าผ่อนงวดแบงค์ แต่ผู้เช่าคนหนึ่งทำพื้นพอง เพราะน้ำซึมจากห้องน้ำ ต้องซ่อมเกือบสองหมื่น

จบสัญญาแล้วก็ต้องหาคนใหม่ ไม่มีใครอยู่ต่อทุกครั้งที่มีคนย้ายออก เขาต้องกลับไปล้างห้อง จ่ายค่าส่วนกลาง ตรวจเช็คสภาพมันเหนื่อย เหนื่อยกว่าอยู่ห้องเช่ามากนัก

คืนหนึ่ง เขากลับจากทำงาน นั่งจิบเบียร์กระป๋องที่ระเบียงห้องเช่าซึ่งไม่มีวิวแต่มีลมอ่อน ๆ พัดมาอยู่ๆระบบ Facebook ก็เด้งแจ้งเตือนโพสต์รูปกุญแจคอนโดเมื่อปีก่อนคิดถึงคอมเมนต์ “ยินดีด้วย” “เท่จัง” “เป็นเจ้าของแล้วนะ”

แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆหัวเราะให้กับตัวเองในอดีต หัวเราะให้กับคำว่า
“ภูมิใจในทรัพย์สินชิ้นแรก”

เพราะความภูมิใจนั้น…กำลังทำให้ชีวิตเขาย่ำอยู่กับที่
วันนี้ กรไม่ได้เลิกเป็นเจ้าของคอนโดไม่ได้ปลดหนี้ ไม่ได้มีแผนมหัศจรรย์อะไร แต่เขา “เลิกหลอกตัวเอง” แล้ว

เขายอมรับว่าคิดผิด ยอมรับว่าตัดสินใจเร็วเกินไป ยอมรับว่าเชื่อคำโฆษณาและภาพในหัวมากเกินไปและที่สำคัญ เขาเริ่มพูดกับคนอื่นว่า
“ยังไม่พร้อม ก็เช่าไปก่อนเถอะ”
“ความมั่นคงไม่ได้เริ่มจากมีบ้าน แต่เริ่มจากมีชีวิตที่ควบคุมได้ต่างหาก”
ไม่ใช่ทุกคนที่ควรซื้อบ้านตอนอายุยังไม่ถึงสามสิบ
ไม่ใช่ทุกคอนโดติดรถไฟฟ้าจะเหมาะกับชีวิตทุกแบบ
และ
ไม่ใช่ทุกทรัพย์สินจะกลายเป็น “ทรัพย์” บางที มันคือ “หนี้ที่เราเรียกมันมาหาเอง”
นิทานเรื่องนี้จบลง ไม่ใช่เพราะกรหมดหนี้ แต่เพราะเขา “เลิกเป็นหนี้ทางใจ” เลิกแบกความคาดหวังว่า การมีบ้านคือการประสบความสำเร็จในชีวิต
บางที... ความสำเร็จที่แท้จริง “ไม่ใช่การมีบ้าน”
อาจเริ่มจากแค่

“การมีชีวิตที่ไม่ต้องหนีออกจากบ้านตัวเอง” ก็ได้

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ดูหัวข้ออื่นเพิ่มเติม