แชร์ประสบการณ์

แชร์ประสบการณ์

นิทานอสังหา EP.5 : จากเด็กจบนิเทศฯ สู่เอเจ้นมือหนึ่ง: เพราะความเก่งอย่างเดียว...ขายบ้านไม่ได้

matching
วันที่สร้างประกาศ เวลาสร้าง 30 กรกฎาคม 2568 09:20
นิทานอสังหา EP.5 : ขอต้อนรับสู่อาชีพนายหน้าอสังหาฯ เมื่อความเก่งไม่ใช่สิ่งสำคัญ
พัช อายุ 24 ปี เพิ่งเรียนจบคณะนิเทศฯ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งแฟ้มสะสมผลงานเพียบพรีเซนต์เก่ง บุคลิกดีพูดชัดถ้อยชัดคำ มีไฟ แต่ไม่มีงานทำ

ตอนนั้นชีวิตว่างเปล่าเหมือนหน้ากระดาษเขาลองสมัครงานสายโฆษณา โปรดักชันครีเอทีฟแต่โลกความจริง ไม่ได้เปิดรับคนไฟแรงแบบในหนัง
“ไว้จะติดต่อกลับนะครับ”
กลายเป็นประโยคที่ได้ยินมากที่สุดในช่วงนั้น

แล้ววันหนึ่ง... เขาเห็นโพสต์ในเฟซบุ๊กกลุ่มอสังหา
“รับสมัครนายหน้ามือใหม่ ไม่ต้องมีประสบการณ์ ขอแค่มีใจ”
มันเป็นประโยคธรรมดา แต่ตอนนั้นสำหรับพัช มันคือทางรอด ที่เขาคิดว่า“ยังไงก็ต้องลองสักครั้ง”

เมื่อพัชได้ไปเรียนมาแล้ว 2 วัน พัชเริ่มทำตามขั้นตอนที่ได้เรียนรู้ไป พัชเริ่ม search หากลุ่ม facebook ที่มีการลงขายบ้านและไปเจอกับบ้านหลังนึงที่สะดุดตาเข้า จึง inbox เข้าไปติดต่อขอทำการตลาดเพื่อหาคนซื้อซึ่งเจ้าของบ้านก็ยินดีให้พัชเป็นคนช่วยขายให้

วันแรกที่ได้บ้านหลังแรกมาโพสต์ เขาตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่


บ้าน 3 ชั้น วิวแม่น้ำ สระว่ายน้ำ infinity edge pool ราคา 48 ล้านบาท ค่าคอม 3% = 1.44 ล้านบาท

พัชถึงกับกลืนน้ำลาย
“แค่โพสต์ + ขายได้ = รวย”
อาชีพอะไรมันช่างมหัศจรรย์ขนาดนี้ รู้งี้ไม่ต้องเรียนนิเทศให้เมื่อยตุ้มตั้งแต่แรก เขาเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ ในตอนนั้น

โพสต์แรกของเขาช่างดูสวยงามการใช้คำสละสลวย แคปชั่นดูดี ตามสไตล์คนจบนิเทศมา
“ความหรูหราไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย แต่คือรางวัลของคนที่กล้าฝัน”
โพสต์นี้พัชได้แชร์ไป 5 กลุ่มที่มีจำนวนสมาชิกหลักแสนผลลัพธ์คือ...ไม่มีไลก์, ไม่มีแชท มีคอมเมนต์เดียว
“ดูกันดีๆนะคะ ไม่แน่ใจมิจฉาชีพรึเปล่า profile ไม่น่าเชื่อถือเลย”
พัชยังไม่ยอมแพ้ เขานั่งดู YouTube สอนปิดการขายทุกคืน ฟังคลิป Clubhouse กูรูอสังหา เปิดอ่านหนังสือ “วิธีพูดให้ลูกค้าซื้อทันที” เขาเปลี่ยนโพสต์ใหม่ แก้ caption ใหม่เปลี่ยนแนวเป็น
“หรูหราแบบเงียบ ๆ ที่ไม่ต้องตะโกนให้ใครรู้”
แต่ผลลัพธ์เหมือนเดิม

เขายิง Ads ไปสักพักนึง แต่ก็ยังเงียบ มีแต่ msg เข้ามาทางเพจเขาทยอยทักหาลูกเพจที่ทักเข้ามา แต่ยังไม่มีคนไหนที่พูดคุยกันอย่างจริงจัง รวมถึงเบอร์โทรที่ได้มาบางส่วน วันละ 10 คนทุกครั้งที่ทักไป มือเย็น ปากแห้ง หัวใจเต้นรัว เสียงคนรับสายกลับคือสิ่งที่เขากลัวที่สุดในโลกเขารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่โทรไปแล้วปลายสายไม่รับ

ส่วนใหญ่ตัดบท บางคนด่า บางคนบอก
“เสียงน้องเด็กมาก เจ้าของบ้านเค้าให้น้องขายจริงๆหรอ?”
วันเสาร์-อาทิตย์ พัชวางแผนนั่งรถเมล์ไปดูบ้านเองถ่ายรูปมุมใหม่ ๆกลับมาแต่งรูป ตัดคลิป ทำโฆษณาโพสต์ทุกวันมีแค่คำว่า “ได้ขาย” แต่ยังห่างไกลกับคำว่า “ขายได้”

จากรูปภาพที่ถ่ายมาใหม่เริ่มมีคนทักเข้ามาและขอนัดดูบ้างเขาได้ทำนัดลูกค้าดูบ้าน

วันนั้นโชคไม่ดี ทั้งฝนตก ทั้งรถติดด้วยความตื่นเต้นพัชไปถึงก่อนเวลานัดถึง 1 ชั่วโมงเพื่อทำการบ้าน เตรียมตัวบทพูดหวังให้ลูกค้าประจำใจ

พอถึงเวลาพัชได้โทรตามลูกค้าลูกค้า ไม่รับสาย ไม่โทรกลับ, ไม่แจ้ง updateใดๆ, ไม่อ่านแชท พัชนั่งรอที่หน้าบ้าน ตอนนี้พัชเปียกทั้งตัวและใจ รวมถึงมือถือที่ใช้ทำมาหากิน

เขากลับบ้านด้วยรถสองแถวลงมาซื้อข้าวกล่อง 35 บาทนั่งกินใต้สะพานลอยระหว่างกิน เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วพูดกับตัวเองว่า...
“เหมือนชีวิตกูกำลังโดนปั่นเลยหว่ะ”
ผ่านไป 3 เดือน มีลูกค้าบ้านดูบ้านบ้างแต่กลับไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนพัชเริ่มกลับมานั่งวิเคราะห์สิ่งที่พลาด เขาตั้งคำถามกับตัวเองครั้งแรก
“ทำไมเราถึงขายไม่ได้?”
ความมั่นใจของพัชที่เคยมีมาหลังจบคลาส ตอนนี้เริ่มลดลง เพราะที่ผ่านมาพัชเหมือนคนที่กำลังเหยียบคันเร่งด้วยรถ supercar มาโดยตลอดพุ่งเป้าไปข้างหน้าเพื่อความสำเร็จโดยเร็ว แต่ตอนนี้พัชกำลังถอนคันเร่งเพื่อหันมามองวิวข้างทางมากขึ้น

เขาเริ่มมองย้อนกลับไป ไม่ใช่เพราะบ้านไม่สวย ไม่ใช่เพราะโพสต์ไม่ดี แต่เพราะ...
“เราไม่เข้าใจคนที่จะซื้อบ้านแบบนี้เลย”

“เราไม่รู้ว่าคนซื้อบ้าน 48 ล้าน เขาอยากได้อะไรจริง ๆ”
เขาแค่พยายามจะพูดให้ดูเก่ง แต่ไม่เคย “ฟัง” ลูกค้าเลย
ระหว่างที่พัชกำลังขายบ้านหรูในฝัน แต่พัชก็มีค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน จะหวังขายบ้านหลังเดียวคงจะไม่ไหว เขาเริ่มหาใหม่ ไม่ใช่บ้านหรู แต่บ้านที่คนธรรมดาซื้อไหว

เขาเจอทาวน์โฮมหลังหนึ่ง ย่านบางบัวทอง ราคา 2.7 ล้าน เจ้าของเป็นคุณลุงจะย้ายไปอยู่กับลูกชาย พัชโทรหาลุง ขอไปถ่ายรูปเอง คราวนี้เขาไม่ทำโฆษณา แต่ “เล่าเรื่อง”
“บ้านหลังนี้ เลี้ยงลูก 2 คนจนเรียนจบ ทุกมุมของบ้านมีเรื่องราว ตอนนี้ลุงกับป้าย้ายไปอยู่กับลูกแล้ว บ้านนี้จึงรอเจ้าของใหม่ ที่จะมาสร้างความทรงจำต่อ”
โพสต์นั้น... แชร์เกิน 100 คนทักเยอะ และ “พี่แพรว” ก็เป็นหนึ่งในนั้น พี่แพรวเป็น มนุษย์เงินเดือน อายุ 32 ตั้งท้องลูกคนแรก อยากย้ายออกจากคอนโด เพราะเลี้ยงลูกลำบาก

พัชใช้เวลาในการชวนคุยกับ พี่แพรวไม่รีบชวนดูบ้าน ไม่รีบปิดการขาย แต่ตั้งใจฟังสิ่งที่พี่แพรวคิด สิ่งที่พี่แพรวฝันอยากจะมีบ้าน เวลาที่คลอดลูกออกมาแล้ว
ชีวิตจะเป็นอย่างไร อย่างจริงจัง

วันดูบ้าน พัชไม่ขาย ไม่โชว์แผนผัง ไม่พูดมาก เขาแค่เปิดม่าน เปิดหน้าต่างให้แสงเข้า และพูดว่า...
“ตรงนี้วางเปลลูกได้นะครับ แดดเช้าเข้าพอดี”
พัชยืนเงียบๆ ให้พี่แพรวเดินดูบ้านเอง ไม่มีท่าทางที่มั่นใจ ไม่มีเทคนิค ไม่มีคำพูดเหนือชั้น มีแค่... ความเข้าใจ และการช่วยเหลืออย่างจริงใจ

พัชช่วยคุยกับธนาคาร สรุปรายการค่าใช้จ่ายให้ครบบอกจุดซ่อมที่ควรปรับปรุงประสานงานกับเจ้าของบ้านแบบตรงไปตรงมาทุกขั้นตอน ไม่มีการขายไม่สนใจว่าบ้านหลังนี้จะได้ค่าคอมเท่าไหร่
มีแต่ “การอยู่ข้างลูกค้า” “อยากให้ลูกค้ามีบ้าน”
วันที่โอนกรรมสิทธิ์พัชยิ้มไม่หยุดเรียกว่าหยุดยิ้มไม่ได้เหมือนคนบ้าไม่ใช่เพราะเงิน แต่เพราะ... “สุดท้าย เขาทำได้จริง”

หลังจากล้มเหลว เจ็บ ฝนตก โดนด่า โดนเทในที่สุด เขาก็ได้ค่าคอมครั้งแรกในชีวิตจากบ้านที่คนไม่เคยมองว่าเป็นโอกาส

เขาไม่ได้ขายบ้านหลังใหญ่แต่เขาขาย "บ้านที่ใช่" ให้กับคนที่ต้องการมันจริง ๆพัชเปลี่ยนจาก “คนขายฝัน” มาเป็น “คนฟังความฝันของคนอื่น”

จากโพสต์บ้านแพงอันหรูหรา เขากลายเป็นนักเล่าเรื่องเงียบ ๆแต่ทำให้คนอยากซื้อเพราะ “มันคือบ้านที่ตรงกับใจเขา”

และในวันหนึ่ง... พัชนั่งรถเมล์ผ่านเส้นทางที่คุ้นเคย เขากลับไปที่บ้านหลังราคา 48 ล้านอีกครั้งยืนมองมันเงียบ ๆไม่ใช่เพื่อขายแต่เพื่อขอบคุณเพราะถ้าเขาไม่เคยล้มเหลวกับบ้านหลังนั้นเขาคงไม่เข้าใจคำว่า
“การเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่ใช่การถอยหลัง แต่มันคือการถอยมาเพื่อมองให้ชัด”
นี่คือเรื่องของพัชและอาจเป็นเรื่องของใครหลายคนที่กำลัง “พยายามในสนามของคนอื่น” จนลืมไปว่า... สนามของตัวเราเอง ก็มีค่ามากพอจะเริ่มต้นได้เสมอ
จบนิทาน

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ดูหัวข้ออื่นเพิ่มเติม