feature
icon   22

ติดตาม

icon   0

กำลังติดตาม

icon   68

โพสที่สร้าง

แชร์ประสบการณ์

“ 7 พฤติกรรม ต้องห้าม ” ถ้ามี ! ยากมากที่จะทำนายหน้า รายได้หลักแสน ต่อเดือน … และกรูอยากให้พวกมรึงเลิกทำ

1) มรึงพูดทุกอย่างที่รู้… ยกเว้นสิ่งที่ลูกค้าต้องการฟังจริง ๆ
กรูบอกเลย… หลายนายหน้าคิดว่าพูดเยอะ = เก่ง
แต่ความจริง ลูกค้าไม่ได้อยากรู้ทุกอย่างที่มรึงรู้
เขาอยากรู้ “แค่สิ่งที่ตอบโจทย์เขาเท่านั้น”



เวลาพาไปดูห้อง ไปดูบ้าน
อย่าเพิ่งขายพรั่งพรู
ให้ถามก่อนว่าเขาหาอะไร
เขากลัวอะไร
เขาไม่โอเคอะไร
เขาต้องการอะไรเป็นพิเศษไหม



มรึงโฟกัสที่ “คำตอบจากลูกค้า”
ไม่ใช่สิ่งที่มรึงอยากพูด



เพราะนายหน้ามืออาชีพ = คนที่ใช่คำพูดรักษาเวลา ไม่ใช่ใช้คำพูดฆ่าดีลตัวเอง



2) นัดก่อน = มีโอกาสก่อนเสมอ… แต่มรึงชอบนัดทีหลังตลอด
อันนี้กรูเจอมาทั้งชีวิตในงานเช่า
มรึงบางคนคิดว่า
“ช่างแม่ง ขอเป็นนัดสุดท้ายละกัน จะได้มีเวลาเตรียมตัว”
แต่ในโลกจริง ถ้าลูกค้าเจอนายหน้าเก่ง ๆ ก่อนหน้า
เขาจะวางจองเลยทันที… และ มรึงจะถูกยกเลิกแบบไม่บอกลา



อย่าชะล่าใจ
ลูกค้าดูหลายห้อง
แต่เขาจะเลือกห้องแรกที่ “โอเคที่สุดในเวลาจริง”



เพราะงั้น… “ใครพาลูกค้าเข้าห้องก่อน คนนั้นได้เปรียบเสมอ”
อย่าผลัด อย่าผัด อย่าผ่อน



เดี๋ยวดีลนี้เขาก็หายไปแบบผี ไม่ใช่อะไร… เขาได้ห้องแล้ว
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 4 วันที่แล้ว
แชร์ประสบการณ์

3 เทคนิคลับ ปิดงานเช่าได้รัวๆ จากประสบการณ์ น้อง วันคลิก

3 เทคนิคลับ ปิดงานเช่าได้รัวๆ จากประสบการณ์ น้อง วันคลิก
งานปล่อยเช่าไม่ใช่เรื่องดวง
มันคือเรื่อง “วิธีทำงาน” ล้วน ๆ
และนายหน้าที่ปิดงานได้สม่ำเสมอ มักมีพฤติกรรม 3 ข้อนี้ที่เหมือนกัน
ตรงข้ามกับนายหน้าที่ทำหลุดทุกดีล และไม่รู้ว่าหลุดเพราะอะไร
ทั้ง 3 ข้อนี้สำคัญแบบ ห้ามพลาดแม้แต่ข้อเดียว
1) อย่าพูดทุกอย่างที่คุณรู้ว่าดี แต่ให้พูดในสิ่งที่ ‘ลูกค้าต้องการฟัง’ เท่านั้น
หลายคนพลาด เพราะพยายามขายห้องด้วยข้อมูลทุกอย่างที่รู้
แต่ลูกค้าไม่ได้ต้องการ “ข้อมูลเยอะ”
ลูกค้าต้องการ “ข้อมูลที่ตรงใจ”
คุณจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรตรงใจ?
– จากคำถามที่เขาถาม
– จากข้อมูลที่เขาให้
– จากบทสนทนาระหว่างเดินไปชมห้อง
– จากน้ำเสียง เวลาโทรคุย
– จากรายละเอียดเล็ก ๆ ที่เขาพูดระหว่างดูห้อง
นี่คือสิ่งที่ นายหน้ามืออาชีพทำ
เขาไม่ยิงข้อมูลมั่ว ๆ
แต่เลือก “พูดเฉพาะประเด็นที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายที่สุด”
พูดน้อย แต่ “เข้าเป้า” ดีกว่าพูดเยอะจนลูกค้าล้า
2) นัดแรก นัดไว นัดก่อน = โอกาสปิดงานมากกว่าทุกครั้ง
นายหน้าหลายคนพลาดเพราะชะล่าใจ
พอลูกค้าบอกว่า “ดูหลายห้องครับ ขอคิวคุณเป็นคิวสุดท้าย”
ก็ดันตอบรับแบบง่าย ๆ
แต่ความจริงในสนามคือ…
ถ้าลูกค้าเจอนายหน้าคนก่อนที่ทำงานเก่งกว่า ตรงใจ และดูแลดี
เขาจะยกเลิกคิวคุณทันที
หรือหายตัวไปแบบไม่มีสัญญาณใด ๆ
ไม่ใช่เพราะเขาไม่ให้เกียรติ
แต่เพราะเขา “ได้ห้องแล้ว”
ดังนั้น
– ใครนัดได้ก่อน
– ใครพาลูกค้าดูก่อน
– ใครสร้างความประทับใจแรกก่อน
คนนั้นมีโอกาสปิดงานสูงกว่าแบบชัดเจน
อย่าให้ลูกค้าดูห้องคนอื่นก่อนคุณ
เพราะถ้าห้องนั้นโดนใจ → คิวคุณจะหายไปในพริบตา
3) เตรียม ‘ราคาปิดการขาย’ ไว้ล่วงหน้าเสมอ เพื่อให้จบดีลในวันดูห้อง
ธรรมชาติของผู้เช่าคือ ชอบต่อรอง
ต่อมากน้อยไม่สำคัญ
สำคัญคือ “เขาอยากได้สิทธิ์ในการต่อ”
ปัญหาคือ…
ถ้าคุณไม่มีราคาปิดการขายชัดเจนตั้งแต่ก่อนพาลูกค้าดู
– คุณจะตอบลูกค้าไม่ได้ทันที
– ลูกค้าจะไม่จองในวันนั้น
– ลูกค้าจะกลับไปคิด
– และมีโอกาสคุยกับเอเจนต์เจ้าอื่นแทน
– ผลลัพธ์: งานหลุด
แต่นายหน้าที่เตรียมราคาปิดการขายไว้ล่วงหน้า
จะอธิบายให้เจ้าของเข้าใจก่อนว่า
– ราคาปิดช่วยปิดงานเร็วขึ้นยังไง
– ทำไมลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการราคานี้
– ถ้าไม่มีราคานี้ โอกาสหลุดมีแค่ไหน
– และเป้าหมายของเราคือจบในวันดูห้อง
เพราะดีลเช่าส่วนใหญ่
จบในวันที่ลูกค้าเห็นห้อง
ถ้าไม่จบวันนั้น → โอกาสหลุดจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา
สรุปที่สุด
3 เหตุผลที่ทำให้นายหน้าบางคนปิดงานได้สม่ำเสมอ
– พูดเฉพาะสิ่งที่ “ตรงใจ” ลูกค้า
– นัดดูก่อนใคร และไม่ปล่อยให้ลูกค้าดูห้องอื่นก่อน
– มีราคาปิดการขายพร้อมเจรจาทันทีตอนลูกค้าพร้อม
งานเช่าไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ต้องแม่นใน 3 จุดนี้จริง ๆ
พลาดข้อเดียว = หลุดดีลทันที
คำถามวันนี้
คุณผิดที่ข้อไหนบ่อยที่สุด?
และจาก 3 ข้อนี้… อยากเริ่มปรับข้อไหนก่อน?
คอมเมนต์ไว้ได้เลย 👇
#tononeclick #นายหน้าอสังหา #รวมทรัพย์เจ้าของรับนายหน้า #วิทยากรอบรม #crmนายหน้า #ขายฐานข้อมูลมากกว่าหมื่นรายการ #เจ้าของรับนายหน้าทำการตลาด
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 7 วันที่แล้ว
แชร์ประสบการณ์

วินัย + ความสม่ำเสมอ = เหตุผลที่ทำให้นายหน้าบางคน “โตไว” และบางคน “ย่ำอยู่ที่เดิม”

วินัย + ความสม่ำเสมอ = เหตุผลที่ทำให้นายหน้าบางคน “โตไว” และบางคน “ย่ำอยู่ที่เดิม”


ในงานนายหน้าอสังหา ฯ ความต่างไม่ใช่แค่ความเก่ง
แต่คือ “ใครทำในวันที่ไม่อยากทำ” และ “ใครทำสิ่งเดิมดีพอและนานพอ”


นี่แหละคือสองคำที่แบ่งเส้นชัดเจนระหว่าง นายหน้าธรรมดา กับ นายหน้าที่โตแบบก้าวกระโดด


1) วินัย = ทำสิ่งที่ต้องทำ แม้ในวันที่ไม่อยากทำที่สุด


วินัยไม่ใช่แรงบันดาลใจ
ไม่ใช่ไฟ
ไม่ใช่ความฮึกเหิม
แต่คือการทำงานที่จำเป็น… แม้ในวันที่อารมณ์ไม่เอื้อเลย


– วันที่ขี้เกียจ แต่ก็ต้องหาทรัพย์เข้าเพิ่ม
– วันที่เหนื่อย แต่ก็ต้องตอบลูกค้าให้ครบ
– วันที่ไม่มีอารมณ์ แต่ก็ต้องทำการตลาดให้ดี
– วันที่วุ่นวาย แต่ก็ต้องจัดข้อมูลและอัปเดตสถานะ
– วันที่อยากพัก แต่ก็ต้อง follow ลูกค้าต่อ


นายหน้าที่มีวินัย
ทำเพราะ “มันต้องทำ” ไม่ใช่เพราะ “อยากทำ”


วินัยคือเครื่องยนต์ที่พาคุณไปข้างหน้าในวันที่คุณหมดแรงที่สุด


2) ความสม่ำเสมอ = ทำสิ่งเดิมให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นมาตรฐานส่วนตัว


ความสม่ำเสมอไม่ใช่ทำหนัก ๆ ครั้งเดียว
แต่คือการทำให้เสมอต้นเสมอปลายในทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี


– หาทรัพย์เข้าพอร์ตทุกวัน
– เอาทรัพย์ที่ได้ไปทำการตลาดจริง ไม่ใช่แค่เก็บไว้เฉย ๆ
– หาลูกค้าทุกวัน ทั้งช่องทางฟรีและช่องทางที่เสียเงิน
– พัฒนาวิธีตอบคำถามลูกค้าให้คมขึ้น
– ปรับวิธี present ให้ชัดขึ้น
– เตรียมข้อมูลให้ไวขึ้น
– เรียนรู้ตลาด ทำเล คู่แข่ง ทุกวัน
– พัฒนาวิธีทำงานหลังบ้านให้เนียนขึ้นเรื่อย ๆ


ความสม่ำเสมอคือ “การรักษาระดับงาน” และ “การยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ”


เมื่อคุณทำแบบนี้ 3–6 เดือนติดต่อกัน
ผลลัพธ์จะเปลี่ยนแบบที่คุณคาดไม่ถึง


3) วินัยพาคุณเริ่มต้น… ความสม่ำเสมอพาคุณสำเร็จ


– วินัย = ทำในวันที่ไม่อยากทำ
– ความสม่ำเสมอ = ทำต่อเนื่องจนสำเร็จจริง


หลายคนมีไฟช่วงแรก แต่ขาดวินัย → ชะงัก
หลายคนมีวินัยช่วงแรก แต่ไม่สม่ำเสมอ → ไม่สำเร็จ
หลายคนทำสม่ำเสมอ แต่ไม่มีวินัยในวันที่ยาก → หยุดกลางทาง


คนที่ไปถึงเป้าหมายจริง ๆ คือคนที่มี ทั้งสองอย่าง


4) นายหน้าที่โตได้ไว… ไม่ใช่คนเก่งกว่า แต่คือคนที่ “ทำทุกวัน”


ความจริงตลอดกาลของวงการนี้คือ
ถ้าคุณหยุดทำเมื่อไหร่ รายได้หยุดทันที
แต่ถ้าคุณทำต่อเนื่อง รายได้จะขยับขึ้นเองแบบไม่ต้องฝืน


นายหน้าที่สำเร็จเร็ว
– หาทรัพย์ทุกวัน
– หาลูกค้าทุกวัน
– ทำตลาดทุกวัน
– ปรับปรุงงานทุกวัน
– เรียนรู้เพิ่มทุกวัน


และที่สำคัญที่สุดคือ
พวกเขาทำในวันที่คนอื่นเลิกทำ


สรุป


วินัย = เริ่มต้นแม้วันแย่ที่สุด
ความสม่ำเสมอ = ทำจนดีขึ้นเรื่อย ๆ และไม่หยุด


สองสิ่งนี้
คือสูตรลับที่ไม่มีคอร์สไหนขาย
แต่เป็นสิ่งที่แยก “คนที่รอด” กับ “คนที่โต” ออกจากกันแบบชัดเจน


ถ้าคุณเริ่มทำวันนี้…
อีก 3 เดือนคุณจะขอบคุณตัวเอง
อีก 12 เดือนคุณจะไม่เชื่อตัวเลขรายได้ของตัวเองเลยด้วยซ้ำ


คำถามสำหรับวันนี้


คุณให้คะแนน “วินัย” และ “ความสม่ำเสมอ” ของตัวเองตอนนี้กี่คะแนน?
และอยากเริ่มปรับที่ข้อไหนก่อน?


แชร์ได้เลย 👇


อยากสำเร็จ แบบติดจรวด เริ่มต้นที่วิธีคิด กดติดตามเพจ ไม่พลาดประสบการณ์และแนวคิดดีๆ ช่วยให้นายหน้าฯเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง


#tononeclick #นายหน้าอสังหา #รวมทรัพย์เจ้าของรับนายหน้า #วิทยากรอบรม #crmนายหน้า #ขายฐานข้อมูลมากกว่าหมื่นรายการ #เจ้าของรับนายหน้าทำการตลาด
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 9 วันที่แล้ว
แชร์ประสบการณ์

เจ้าของตั้งราคาสูงกว่าตลาด… ควรทำแบบนี้ (เช่า + ขาย)

1) เจ้าของตั้งราคาตาม “ภาระหนี้ของตัวเอง” มากกว่าตลาดจริง


สำหรับงานขาย
หลายเจ้าของตั้งราคาเพราะต้องการ
– ปิดหนี้กู้ให้หมด
– เอาเงินก้อนตามที่ตั้งใจไว้
– ไม่อยากขายต่ำกว่าต้นทุนที่ยังติดอยู่


แต่ในมุมตลาด
ราคาขาย “ไม่ผูกกับภาระหนี้ของเจ้าของ”
ตลาดสนใจเพียง
– เทียบกับห้องอื่น
– ความคุ้มค่า
– ทำเลและตกแต่ง
– เพดานราคาที่ผู้ซื้อยอมรับ


ภาระหนี้ของเจ้าของ → ไม่ใช่เหตุผลที่ตลาดยอมจ่ายเพิ่ม


นี่คือจุดที่นายหน้าต้องอธิบายอย่างนุ่มนวลและใช้ข้อมูลนำ


2) เจ้าของตั้งราคาตาม “ราคาที่ซื้อมา” ซึ่งหลายครั้งไม่ตรงกับตลาดปัจจุบัน


สถานการณ์ที่พบเป็นประจำ
– ซื้อมาแพงในช่วงตลาดพีค → ตอนขายราคาตลาดลง
– ซื้อมาในราคาต่ำมากเมื่อ 7–10 ปีก่อน → คาดหวังขายเกินกว่าที่ตลาดพร้อมจ่าย
– ซื้อมาเพื่ออยู่อาศัย → คิดว่าทำเลดีมาก แต่ตลาดเช่า/ขายไม่ได้คิดเหมือนกัน


ต้นทุนที่ซื้อมา = เรื่องของเจ้าของ
ราคาที่ขายได้ = เรื่องของตลาด


หน้าที่ของนายหน้า คือ
อธิบายระหว่าง “ต้นทุน” และ “ราคาตลาดตอนนี้” ให้ชัด


3) เริ่มบทสนทนาด้วย “ข้อมูลจริง” ไม่ใช่ความรู้สึก


สำหรับเช่า
– ราคาห้องคล้ายกันในโครงการ
– ราคาปล่อยได้จริงใน 30–60 วัน
– ความต้องการของผู้เช่าช่วงนี้
– ชั้น–วิว–เฟอร์มีผลต่อราคาเช่าเพียงใด


สำหรับขาย
– ราคาเสนอขายเฉลี่ย
– ราคาปิดการขายจริง
– ระยะเวลาเฉลี่ยที่ห้องราคาเกินตลาดค้างอยู่นานเท่าไหร่
– ความคุ้มค่าที่ผู้ซื้อโฟกัส เช่น ค่าส่วนกลาง, ขนาดห้อง/ตร.ม., การรีโนเวต


ยิ่งข้อมูลชัด → การเจรจาราบรื่นกว่าใช้ความรู้สึก


4) แทนที่จะบอกให้ “ลดราคา” ให้เจ้าของเลือกแผนเอง


ปล่อยเช่า
– ราคาแบบตลาดปิดเร็ว
– ราคาแบบเฉพาะกลุ่มที่ยอมจ่ายสูงกว่า


ขาย
– ราคาเร่งยอด (ให้มีคนดูเร็วขึ้น)
– ราคาเชิงกลยุทธ์ (รอผู้ซื้อเฉพาะกลุ่ม)


เมื่อเจ้าของ “เลือกเส้นทางเอง” → การร่วมมือจะง่ายขึ้นมาก
 
สรุป


เจ้าของตั้งราคามักเกิดจาก
– ภาระหนี้
– ราคาที่ซื้อมา
– ความรู้สึกว่าห้องตัวเองดีกว่า
– ความคาดหวังว่าต้องได้ราคาเท่านี้


แต่มาตรฐานที่ตลาดใช้ตัดสิน คือ
ราคาเปรียบเทียบ + ทำเล + สภาพห้อง + ความคุ้มค่า ณ วันนี้


การสื่อสารที่ดีของนายหน้า
คือทำให้เจ้าของ “เข้าใจตลาด” โดยไม่ทำให้เขาเสียหน้า
และเป็นทางนำไปสู่การตัดสินใจที่เดินหน้าได้จริง
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 10 วันที่แล้ว
แชร์ประสบการณ์

ทำไมเจ้าของถึงเลือก “นายหน้าที่ดูแลต่อเนื่อง” ไม่ใช่นายหน้าที่โพสต์เก่ง ขายเก่ง แต่เมื่อปิดงานได้แล้ว ทำตัวเป็น นินจา หายหัว หายตัว ติดต่อยาก

ทำไมเจ้าของถึงเลือก “นายหน้าที่ดูแลต่อเนื่อง” ไม่ใช่นายหน้าที่โพสต์เก่งอย่างเดียว?


ถ้าพูดกันตามกฎหมายและหน้าที่พื้นฐานจริง ๆ
“งานของนายหน้า” คือการหาผู้เช่าหรือผู้ซื้อมาทำสัญญาให้สำเร็จ
เมื่อสัญญาเกิดขึ้น
– เจ้าของได้ผู้เช่า
– ผู้เช่าได้ทรัพย์ที่ต้องการ
– นายหน้าได้รับค่าแนะนำ
ในมุมนี้… งานก็ถือว่า จบแล้ว ตามบทบาทของนายหน้า


แต่ในความเป็นจริงของตลาดปี 2026
เจ้าของจำนวนมาก ไม่ได้มองหานายหน้าที่แค่ปิดดีลได้
แต่ต้องการ “คนที่ดูแลต่อเนื่อง” เพราะผลลัพธ์หลังจากนั้นสำคัญกว่าการปิดงานครั้งเดียว


นี่คือเหตุผลจริงที่เจ้าของเลือกนายหน้าแบบ “ดูแลก่อน–ระหว่าง–หลังทำสัญญา” มากกว่านายหน้าที่แค่โพสต์เก่ง


1) เจ้าของต้องการความสบายใจ มากกว่าการปิดดีลครั้งเดียว


– เจ้าของส่วนใหญ่ไม่มีเวลา
– ไม่ได้อยู่ใกล้ทรัพย์
– ไม่ได้เข้ามาเช็กงานบ่อย
– ไม่ได้รู้พฤติกรรมผู้เช่าหลังอยู่จริง


เจ้าของจึงเลือกนายหน้าที่
“ตอบได้ทุกเรื่อง ไม่หายไปหลังปิดงาน”
เพราะความสบายใจ = ค่าที่สูงกว่าค่าแนะนำหลายเท่า


2) ปัญหาหลังการเช่าเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด และเจ้าของไม่อยากจัดการเอง


หลังปิดดีลคือจุดที่งานจริงเริ่ม
– วันชำระค่าเช่า
– ปัญหาจุกจิกในห้อง
– การย้ายออก
– การคืนเงินประกัน
– สัญญาใกล้หมด
– ผู้เช่าอยากปรับเงื่อนไข


นายหน้าที่ดูแลต่อเนื่อง คือ “เกราะกันปัญหา” ให้เจ้าของ
เจ้าของจึงยอมฝากห้องยาวแบบไม่ต้องเปลี่ยนคนดูแล


3) เจ้าของต้องการข้อมูลอัปเดต ไม่ใช่นายหน้าที่โพสต์แล้วหาย


โพสต์เก่ง ตัดคลิปสวย ทำประกาศไว… สำคัญ
แต่สิ่งที่เจ้าของต้องการจริงคือ
– สถานะล่าสุดของห้อง
– มีลูกค้าดูไหม
– มีใครถามบ้าง
– ห้องอะไรในโครงการราคาเท่าไหร่
– ต้นทุน–กำไรของปีนี้เป็นอย่างไร


นายหน้าที่ “อัปเดตเสมอ” ดูโปรกว่านายหน้าที่โพสต์ทีเดียวแล้วเงียบไป


4) การดูแลต่อเนื่อง = ทำให้เจ้าของมอบห้องเพิ่มโดยไม่ต้องขอ


เจ้าของที่รู้สึกว่าได้รับการดูแล
มักจะพูดประโยคนี้เอง…
“มีอีก 1 ห้อง สนใจดูแลให้หน่อยไหม?”


นี่คือจุดที่รายได้เติบโตแบบไม่ต้องหาทรัพย์ใหม่ทุกวัน
เพราะความเชื่อใจที่คุณสร้างไว้
ไม่ใช่ความสวยของโพสต์


5) เจ้าของปี 2026 เลือกจาก “บริการ” มากกว่า “การโพสต์”


พฤติกรรมเจ้าของในยุคนี้เปลี่ยนไป
– อยากได้การติดตามสัญญา
– อยากรู้ว่างานหลังบ้านอยู่ในมือที่ไว้ใจได้
– อยากให้ทุกอย่างชัดเจน แจ้งเตือนผ่าน LINE
– อยากได้คนหนึ่งคนที่ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบจริง ๆ


เพราะเขารู้ว่า…
การโพสต์ไม่ใช่ปัญหา แต่การดูแลหลังบ้านต่างหากที่เป็นงานจริง


สรุปที่สุด


การโพสต์เก่ง = ปิดงานครั้งแรกได้
การดูแลต่อเนื่อง = ได้งานต่อเนื่องทั้งปี


เจ้าของจะเลือกคนที่ “อยู่ด้วยแล้วสบายใจ”
มากกว่าคนที่ “โพสต์สวยแต่หายไปหลังปิดดีล”


คำถามสำหรับวันนี้


คุณคิดว่าจุดไหนคือเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้เจ้าของเลือกนายหน้าแบบดูแลต่อเนื่อง?
และคุณเคยได้ห้องเพิ่มเพราะบริการหลังบ้านไหม?


แชร์ประสบการณ์ไว้ได้เลย 👇
 
#tononeclick #นายหน้ามืออาชีพ #บริการครบวงจรสำหรับนายหน้าอิสระและองค์กรณ์
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 11 วันที่แล้ว
ความรู้

อยากสำเร็จ ... อย่าเป็นนายหน้า 100 คอร์ส เรียนโคตรเยอะ ทำเท่ามด ...

อย่าเป็น “นายหน้า 100 คอร์ส”… แต่ไม่เคยลงสนามจริง
ปี 2026 ไม่ได้วัดกันที่ “เรียนมากแค่ไหน”
แต่วัดกันที่ใคร “เอาของที่เรียนมาใช้จริงได้มากกว่า”
หลายคนเข้าอบรมทุกคอร์ส
เข้ากลุ่มทุกกลุ่ม
ซื้อโปรแกรมทุกตัว
เรียนการตลาดทุกแพลตฟอร์ม
แต่ผลลัพธ์กลับไม่ขยับเท่าที่ควร
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คอร์ส
แต่อยู่ที่ ไม่ลงสนามจริงสักที
1) เรียนจนล้น แต่ไม่เริ่มทำ = ไม่มีผลลัพธ์เกิดขึ้นจริง
– เรียนวิธีหาทรัพย์ แต่ไม่เคยลองเก็บทรัพย์จริง
– เรียนสคริปต์พรีเซนต์ แต่ไม่เคยโทรหาลูกค้าสักราย
– เรียนเรื่องปิดดีล แต่ไม่เคยพาลูกค้าดูห้องจริง
– เรียนเรื่องระบบทำงาน แต่ไม่เคยเก็บข้อมูลเข้าระบบเลย
ความรู้เพิ่มขึ้น แต่ “ทักษะ” ไม่เพิ่มตาม
เพราะทักษะ = ต้องลงมือทำ
2) สนุกกับการอบรม… แต่กลัวการลองผิดลองถูก
หลายคนไม่กล้าลงสนาม เพราะกลัว
– กลัวตอบลูกค้าไม่ได้
– กลัวพลาด
– กลัวทำแล้วดูไม่โปร
– กลัวโดนปฏิเสธ
– กลัวทำไม่ดีเหมือนในคอร์ส
สุดท้ายก็เลือก “เรียนต่อ” เพื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวหน้า
แต่ความจริงคือ… อยู่ที่เดิม
3) ความรู้เยอะเกินไป ทำให้เริ่มไม่เป็น
เมื่อเรียนหลายคอร์ส
จะเจอปัญหานี้ทันที:
– ไม่รู้ควรเริ่มตรงไหน
– วิธีมันเยอะเกินไป
– เทคนิคแต่ละคอร์สสอนคนละแนว
– ทำทุกอย่างไม่ได้ เลยไม่ได้ทำสักอย่าง
คนที่ไปได้ไกลไม่ใช่คนที่เรียนเยอะที่สุด
แต่คือคนที่ “เลือก 1 อย่าง แล้วลงมือทำ 100%”
4) สนามจริงให้บทเรียนเร็วกว่าคอร์สใด ๆ
แค่ลองลงสนาม คุณจะรู้ทันทีว่า
– ลูกค้าถามอะไรจริง
– ห้องแบบไหนปล่อยง่าย
– ทำเลไหนมีดีมานด์
– เจ้าของต้องการแบบไหน
– สัญญาเช่ามีจุดไหนที่ต้องระวัง
– และงานจริงต้องใช้ข้อมูลแบบไหน
สิ่งเหล่านี้… ไม่มีสอนครบในคอร์สไหน
ต้องเจอเองถึงจะเข้าใจ
5) ตลาดปี 2026 ให้รางวัลกับคนที่ “ลงมือก่อน” ไม่ใช่คนที่รู้เยอะที่สุด
คนที่ลงสนามก่อน
– เก็บฐานข้อมูลก่อน
– ได้ลูกค้าก่อน
– ได้ประสบการณ์ก่อน
– ได้รู้ว่าควรพัฒนาอะไรจริง
– ปรับตัวได้ไวกว่า
คนที่มัวเรียนไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ทำ
จะถูกแซงโดยคนที่ลงมือตั้งแต่วันแรก
สรุป
การเป็นนายหน้า…
ไม่ต้องเรียน 100 คอร์ส
แต่ต้อง “ลงมือ 100 ครั้ง”
ความรู้ = ทิศทาง
การลงมือ = ผลลัพธ์
ไม่เริ่มทำจริงสักที
ก็ไม่มีวันเห็นผลจริงสักวัน
คำถามสำหรับวันนี้
ตอนเริ่มทำงาน คุณเคยเป็น “นายหน้า 100 คอร์ส” แบบนี้ไหม?
และอะไรที่ทำให้คุณเริ่มลงสนามจริง?
แชร์ไว้ได้เลย 👇
โพสต์นี้ช่วยนายหน้ามือใหม่ได้มากแน่นอน.
#tononeclick #นายหน้าอสังหา #เรียนอย่างเยอะทำอย่างน้อย #ทักษะเกิดจากการทำซ้ำไม่ใช่เรียนซ้ำๆ
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 12 วันที่แล้ว
แชร์ประสบการณ์

ทำไม “นายหน้า” ต้องเลือกโฟกัสเป็นโครงการ / แนวรถไฟฟ้า / พื้นที่-ทำเล

ทำไม “นายหน้า” ต้องโฟกัสเป็นโครงการ / แนวรถไฟฟ้า / พื้นที่-ทำเล


ในปี 2026 นายหน้าที่ “โฟกัสเฉพาะทำเล” จะได้เปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะการเช่าคอนโดไม่ได้ชนะจากจำนวนประกาศ แต่ชนะจาก “ความลึกของข้อมูล” และ “จำนวนยูนิตที่คุณถืออยู่ในมือ”


การโฟกัส = ทำงานง่ายขึ้นหลายเท่า และโอกาสปิดงานสูงขึ้นแบบทวีคูณ


1) ยิ่งโฟกัส ยิ่งสะสมห้องได้มากขึ้น (และมากกว่าใคร)


ลองเปรียบเทียบภาพง่าย ๆ
– ถ้าคุณมีโครงการ A แค่ 10 ห้อง → โอกาสก็คือ 10
– ถ้าคุณมีโครงการ A ถึง 100 ห้อง → โอกาสเพิ่มขึ้น 10 เท่า
– ถ้าคุณมีโครงการ A, B, C อย่างละ 50 ห้อง → คุณครองพื้นที่นั้นระดับหนึ่งแล้ว


นายหน้าที่ “สะสมทรัพย์ในโครงการ/ทำเลเดิมอย่างต่อเนื่อง”
จะกลายเป็นคนที่
– ตอบลูกค้าได้เร็วกว่า
– ส่งลิสต์ได้คุณภาพกว่า
– และมีทรัพย์พร้อมทันทีในทุกช่วงเวลา


นี่คือข้อได้เปรียบที่นายหน้าทั่วไปไม่มี


2) ลูกค้าส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วย “ทำเล” ก่อนเสมอ


เวลาลูกค้าทักมา 80% จะเริ่มด้วยคำว่า
– อยากได้แนวรถไฟฟ้า X
– ทำเลนี้เดินทางสะดวก
– โครงการนี้เพื่อนอยู่
– หรือเคยอยู่แถวนี้แล้วชอบ


ทำเล = เป็นตัวกรองแรกในการตัดสินใจ


ถ้าคุณเชี่ยวชาญทำเลหนึ่งแบบลึกจริง ๆ
คุณจะตอบลูกค้าได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าเจ้าที่ทำหลายโซนพร้อมกัน


3) โครงการที่ลูกค้าขอ… ไม่ได้มีห้องว่างเสมอไป แต่ “ทำเลใกล้เคียง” คือคำตอบ


นี่คือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแทบทุกสัปดาห์
ลูกค้าบอกว่าอยากได้ “โครงการเดียว”
แต่พอห้องไม่ว่าง หรือติดงบ
สิ่งที่มักปิดได้คือห้องในโครงการใกล้เคียง เช่น


– ลูกค้าขอ Ideo → ปิดได้ที่ Rhythm / Life / Aspire ใกล้ ๆ
– ลูกค้าขอแนวรถไฟฟ้า สุขุมวิทตอนปลาย → ปิดได้ที่ อ่อนนุช / บางจาก / ปุณณวิถี
– ลูกค้าขอ อโศก–พร้อมพงษ์ → ปิดได้กับโครงการในตรอกข้างเคียงที่เดินแค่ 100–200 เมตร


เพราะ “ลูกค้าสนใจโครงการ A”
แต่ “ลูกค้าตัดสินใจด้วยทำเลรอบ A”


ใครถือหลายยูนิตในทำเลเดียว = ได้โอกาสปิดงานสูงกว่าแบบชัดเจน


4) โฟกัสแค่ทำเลเดียว ทำให้ “ตอบไว” และ “แม่นยำกว่าใคร”


นายหน้าที่โฟกัสทำเลเดียวจะรู้ว่า
– โครงการไหนผู้เช่าต่อสัญญาบ่อย
– โครงการไหนราคาดีแต่ห้องสวย
– อาคารไหนวิวดี
– ชั้นไหนปล่อยง่าย
– ช่วงราคาไหนทั้งปีมีดีมานด์ไม่เคยหาย
– ฟีดแบ็กนักเช่าชาวต่างชาติชอบอาคารไหนมากที่สุด


นี่คือข้อมูลที่นายหน้าทั่วไปไม่มี เพราะเขาย้ายทำเลไปเรื่อย
แต่นายหน้าที่โฟกัสหนึ่งทำเล จะตอบลูกค้าได้ลึกกว่าและรวดเร็วกว่า
ซึ่ง “ความเร็ว + ความแม่น” = ปิดงานได้ก่อนเสมอ


5) โฟกัส = วางระบบได้ง่ายกว่า


เมื่อคุณโฟกัสแค่ 1–3 ทำเล
คุณจะสามารถตั้งระบบหลังบ้านได้แบบนิ่ง ๆ เช่น
– สะสมฐานทรัพย์ในโครงการเดิม
– อัปเดตราคาได้เร็วเพราะมีข้อมูลสะสม
– แจ้งเตือนผู้เช่าในพื้นที่เดียวกันง่ายขึ้น
– ประเมินราคาตลาดได้แม่นกว่าโซนอื่น


งานหลังบ้านที่ดี = ทำเลที่โฟกัสยิ่งแข็งแรง
และยิ่งแข็งแรง → รายได้ยิ่งสม่ำเสมอ
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 12 วันที่แล้ว
แชร์ประสบการณ์

5 เหตุผลที่นายหน้าอสังหา “ไม่ประสบความสำเร็จ” มากกว่าที่คิด

5 เหตุผลที่นายหน้าอสังหา “ไม่ประสบความสำเร็จ” มากกว่าที่คิด



ในตลาดอสังหาฯ ความต่างของรายได้ไม่ได้เกิดจากความเก่งหรือคอนเน็กชันเพียงอย่างเดียว
แต่เกิดจาก “พฤติกรรมการทำงาน” ที่หลายคนไม่เคยมองเห็นมาก่อน
นี่คือ 5 เหตุผลหลัก ที่ทำให้นายหน้าจำนวนมากไปไม่ถึงศักยภาพของตัวเอง





1) ทำงานแบบวันต่อวัน ไม่มีข้อมูลสะสม



นายหน้าหลายคนพึ่งแต่การหาทรัพย์ใหม่–ลูกค้าใหม่รายวัน
แต่ไม่เก็บข้อมูลในรูปแบบที่นำกลับมาใช้ต่อได้
ผลที่เกิดขึ้นคือ…





ปีหน้าเริ่มใหม่หมด
ไม่รู้ประวัติผู้เช่าหรือเจ้าของ
ไม่รู้ว่าทรัพย์ไหนเคยมีคนสนใจ
ข้อมูลแตกกระจายตามแชท
สุดท้ายทำงานมาตลอดปี แต่ไม่มีฐานอะไรต่อยอดได้เลย



2) ไม่วางระบบหลังบ้าน ทำให้ตกหล่นง่ายมาก





อสังหาฯ คือธุรกิจที่ “รายละเอียดเยอะ”
แต่หลายคนยังทำแบบ manual และใช้หลายระบบจนหลุด
ตัวอย่างจริง:



ลืมวันหมดสัญญา
ลืมติดตามลูกค้าหลังพรีเซนต์
ลืมอัปเดตสถานะห้อง
ลืม follow up หลังพาดู
ความผิดพลาดเล็ก ๆ เหล่านี้ทำให้เสียดีลง่ายกว่าที่คิด





3) ไม่มีการวิเคราะห์งานของตัวเอง



คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ มักไม่รู้ว่า…
อะไรคือทรัพย์ที่ปิดง่ายที่สุด
ลูกค้าแบบไหนเหมาะกับตัวเอง
เวลาไหนยอดเข้ามากที่สุด
งานไหนกินเวลาแต่ไม่เคยสร้างรายได้
ถ้าวัดผลไม่ได้ → พัฒนาไม่ได้ → รายได้ไม่ขยับ





4) ทำงานกว้างเกินไป ไม่โฟกัส



นายหน้าส่วนใหญ่มักเริ่มจาก “รับทุกอย่าง”
แต่ไม่เคยเลือกเส้นหลักของตัวเอง เช่น





สายเช่า
สายขาย
โซนเฉพาะ
ระดับราคาเฉพาะ



สุดท้ายทำงานหลายอย่างพร้อมกันแต่ไม่เด่นสักด้าน
ความเชื่อมั่นจากลูกค้าจึงไม่เกิด





5) ไม่สื่อสารแบบมืออาชีพกับทั้งเจ้าของ–ผู้เช่า–ลูกค้า



อสังหาฯ คือธุรกิจบริการ
แต่นายหน้าบางคนยังสื่อสารแบบกระจัดกระจาย





ส่งข้อมูลไม่ครบ
ตอบแชทช้า
ไม่แจ้งอัปเดต
ไม่มี follow up
สื่อสารไม่ตรงประเด็น



ลูกค้าสามารถเปลี่ยนใจใน 30 วินาที
และมักไปหา “คนที่สื่อสารชัดกว่า” เสมอ





สรุป



นายหน้าที่ไม่ประสบความสำเร็จ
ไม่ได้แพ้ที่ตลาด
แต่แพ้ที่ “วิธีจัดการงาน” ของตัวเอง
ใครทำงานเป็นระบบ → รายได้โต
ใครทำงานแบบกระจัดกระจาย → รายได้ไม่เสถียร





ปี 2026 คือปีที่ความต่างนี้จะชัดที่สุด
และคนที่จัดการงานหลังบ้านได้ดี จะเติบโตเร็วกว่าเดิมหลายเท่า



คำถามสำหรับวันนี้





คุณคิดว่าข้อไหนเป็นสาเหตุที่ทำให้นายหน้าไปไม่สุดทางมากที่สุด?
และคุณเคยเจอสิ่งไหนกับตัวเองบ้าง?



แชร์ประสบการณ์ไว้ได้เลย 👇
โพสต์นี้จะช่วยให้หลายคนไม่เดินพลาดเหมือนเดิม.

 
BY Ton One Click
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 12 วันที่แล้ว
ความรู้

ความต่างที่ชัดเจนระหว่าง ‘นายหน้าที่ทำไปวัน ๆ’ กับ ‘นายหน้าที่มีระบบหลังบ้านช่วยเหลือ’

ความต่างที่ชัดเจนระหว่าง ‘นายหน้าที่ทำไปวัน ๆ’ กับ ‘นายหน้าที่มีระบบหลังบ้านช่วยเหลือ’



ในงานปล่อยเช่า รายได้ดูเหมือนจะใกล้กัน
แต่ผลลัพธ์ของนายหน้า “แต่ละคน” กลับต่างกันมาก
สาเหตุไม่ได้อยู่ที่ดวง ไม่ได้อยู่ที่ตลาด
แต่อยู่ที่ “วิธีทำงาน” และ “ระบบหลังบ้าน” ที่แต่ละคนสร้างขึ้น



นี่คือความต่างที่เห็นได้ชัดที่สุด



นายหน้าที่ทำไปวัน ๆ



- หาทรัพย์ไปเรื่อย ไม่โฟกัส โครงการ หรือ พื้นที่ใดๆ ได้ที่ไหนเอาที่นั้น
- ตามงานผ่านไลน์บ้าง มือถือบ้าง iPad บ้าง
- ข้อมูลกระจัดกระจาย ไม่ได้เก็บรวมไว้ที่เดียว
- ลืมเตือนค่าเช่า ลืมวันหมดสัญญา เน้นหาลูกค้าใหม่ ไม่เน้นบริการ
- รายได้ขึ้นลงตามอารมณ์และจังหวะงาน



ไม่สนใจเรื่องการจัดการข้อมูลทรัพย์ หรือ ลูกค้าที่ได้มา 
ปล่อยให้ข้อมูลเข้ามาทางไหน ก็อยู่ทางนั้น



ทำวันต่อวัน เคสต่อเคส ไม่มองระยะยาว ไม่มองปีหน้า 
เอาแค่วันนี้ ตอนนี้ 



ผลลัพธ์ คือ : ทำงานเยอะ แต่ปิดได้น้อย เหมือนต้องเริ่มใหม่ทุกครั้ง ข้อมูลนำไปใช้อะไรไม่ได้เลย ในปีถัดไป เพราะกระจัดกระจายกันอยู่ 



นายหน้าที่ให้ความสำคัญกับระบบหลังบ้าน



มีฐานข้อมูลทรัพย์และลูกค้าอยู่ที่เดียว (Excel / Google Sheet)
ใช้ระบบอัตโนมัติช่วยแจ้งเตือนงานสำคัญ
– วันชำระค่าเช่า
– สัญญาเหลือ < 30 วัน
– วันหมดสัญญา
แจ้งเตือนผ่าน LINE ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ทุกคนเปิดทุกวัน
ทุกงานมีสถานะชัดเจน ไม่ตกหล่น
ใช้เวลาน้อยลง แต่มีเวลามากขึ้นสำหรับลูกค้าใหม่
ทำงานได้แม่นยำ ต่อเนื่อง และดูเป็นมืออาชีพ



มองเส้นทางระยะยาว ปีนี้ปิดไม่ได้ ปีหน้าคนเช่าย้ายออก ก็เป็นโอกาสของเรา ปีนี้ทรัพย์ราคาสูงมาก ปีหน้าเจ้าของอาจลดราคาลงต่ำกว่าตลาดเพราะความจำเป็นบางอย่าง 



ข้อมูลทุกข้อมูล แรงทุกแรงที่ลง นำกลับมาใช้สร้างรายได้ ในอนาคตได้ 
งานที่ทำวันต่อวัน ยังคงทำอยู่ แต่ มองขาดไปถึงปีถัดไป โอกาสที่อยู่ข้างหน้า



ผลลัพธ์: ทำงานน้อยลง แต่ปิดดีลได้มากขึ้น และมีรายได้สม่ำเสมอ 



สรุปง่ายที่สุด



ความต่างไม่ได้อยู่ที่ว่าใครขยันกว่า
แต่อยู่ที่ว่าใคร “ทำงานเป็นระบบ” กว่า



ระบบที่ดี = เวลามากขึ้น = ดีลมากขึ้น = รายได้มากขึ้น
ระบบที่ไม่มี = ทำไปวัน ๆ = เหนื่อยมาก รายได้น้อย และ พลาดง่าย



เพื่อนๆแต่ละคน ทุกวันนี้ทำแบบไหนกันอยู่ มาแชร์ให้แอดฟังกันหน่อยครับ
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 13 วันที่แล้ว
ความรู้

เคยพลาดต่อสัญญาผู้เช่าไหม? ระบบนี้ช่วยให้ไม่เกิดขึ้นอีก

เคยพลาดต่อสัญญาผู้เช่าไหม? ระบบนี้ช่วยให้ไม่เกิดขึ้นอีก


งานปล่อยเช่า เมื่อปล่อยเช่าได้ สิ่งที่นายหน้าต้องทำต่อคือ ติดตามค่าเช่าแทนเจ้าของ 
นายหน้าส่วนใหญ่ ติดตามเฉพาะ ตอนมีปัญหาเท่านั้น  


ไม่ผิด แต่นี้ไม่ได้สร้าง คุณค่า ให้กับบริการใดๆเลย  เมื่อเทียบกับนายหน้าอีกคน ที่คอยติดตาม ทวงถาม เมื่อครบกำหนดชำระ หรือ สัญญาเช่าใกล้หมดอายุ   


เจ้าของรู้สึกดีกับบริการของใครมากกว่ากัน ?  


นายหน้าจำเป็นต้องสร้างการติดตามเอง ผ่าน Line บ้าง ชื่อ Group บ้าง หรือ ตั้งเตือนบ้าง


ปัญหาที่จะเจอและหนีไม่พ้นคือ ยิ่งปล่อยเช่าได้เยอะ  ยิ่งพบว่างานหลุดมีมากขึ้นเป็นเงาตามตาม 


ลืมตั้งเตือนบ้าง ลืมตามบ้าง ยุ่งจนลืมทำบ้าง ทั้งจะให้พิมพ์เตือนทุกห้อง ในแต่ละวัน ก็ใช้เวลา 
ทำไป ทำมา เริ่มไม่อยากทำ เพราะมันเหนื่อย และ เงินก็ได้รับมาแล้ว นายหน้าส่วนใหญ่เลือกที่จะไปโฟกัส หาปิดงานใหม่ๆ มากกว่าที่จะมาเน้นเรื่องบริการให้ดีกว่าที่เป็น


ผลที่ตามมา คือ
– ลืมแจ้งต่อสัญญา
– ลืมเตือนวันชำระ
– ลืมวันหมดสัญญาจริง
– เสียผู้เช่าดี ๆ แบบที่ไม่ควรเสีย


ระบบนี้แก้ปัญหาทั้งหมดในที่เดียว


ใส่ข้อมูลครั้งเดียวใน Google Sheet / Excel ออนไลน์
เครื่องมือที่นายหน้าคุ้นเคยที่สุด


จากนั้น
ระบบอัตโนมัติจะจัดการแจ้งเตือนทุกงานสำคัญให้ทั้งหมด
ไม่ต้องตั้งเตือนหลายเครื่อง ไม่ต้องคอยจำเอง ไม่ต้องไล่หาระบบไหนทำอะไรอีก


3 การแจ้งเตือนสำคัญที่ระบบทำให้อัตโนมัติ
✔ แจ้งเตือนวันชำระค่าเช่า


ส่งยอด วันครบกำหนด และข้อมูลบัญชีให้ผู้เช่าแบบอัตโนมัติ


✔ แจ้งเตือนเมื่อสัญญาเหลือน้อยกว่า 30 วัน


ช่วยให้ผู้เช่าและผู้ดูแลเตรียมการต่อสัญญาได้ทัน


✔ แจ้งเตือนวันหมดสัญญา


รู้วันสิ้นสุดจริงล่วงหน้า วางแผนหาผู้เช่าใหม่ได้ไม่สะดุด


สิ่งสำคัญที่สุด: การแจ้งเตือนส่งผ่าน “LINE” โดยตรง


เพราะ LINE คือแพลตฟอร์มที่ นายหน้าไทยใช้งานทุกวันอยู่แล้ว
– เปิดบ่อย
– ตอบเร็ว
– อยู่ในมือถือทุกคน
ดังนั้น “ระบบแจ้งเตือนผ่าน LINE” จึงใช้งานง่าย ได้ผลจริง และไม่ต้องสอนวิธีใช้เลย


ผลลัพธ์ที่เห็นจริงในการทำงาน


ทุกยูนิตได้รับการแจ้งเตือนตรงเวลา


ลดงานหลุด ลดห้องว่างโดยไม่จำเป็น


เพิ่มอัตราต่อสัญญา


ผู้เช่ารู้สึกว่าได้รับการดูแลแบบมืออาชีพ


นายหน้ามีเวลาไปดูแลดีลใหม่มากขึ้น


อยากดูตัวอย่างแจ้งเตือนจริงหรือทดสอบระบบ?  รองรับ 3 ภาษา


ติดต่อได้ที่
👉 Line OA: @oneclickproperty


คำถามสำหรับวันนี้


คุณเคย “พลาดต่อสัญญา” หรือ “ลืมแจ้งค่าเช่า” เพราะข้อมูลกระจัดกระจายไหม?
และมันเกิดจากอะไร?


แชร์ไว้ได้เลย 👇 เพื่อให้นายหน้าคนอื่นได้ระวังไม่ให้พลาดเหมือนกัน.
main-image
profile-avatar
One-Click Property Service 14 วันที่แล้ว