feature
icon   145

ติดตาม

icon   0

กำลังติดตาม

icon   176

โพสที่สร้าง

ความรู้

เพื่อนๆ เอเจนอสังหาฯ ทุกคน วันนี้ผู้เขียนอยากแชร์ประสบการณ์ของตนเอง ใน 14 ปีของอาชีพนี้ค่ะ

ตอนเริ่มต้นอาชีพ ผู้เขียนเก่งเรื่องการขายและดูแลลูกค้า แต่กลับหนีการทำการตลาดเหมือนหนีผี พึ่งพาลูกค้าจากบริษัทนายหน้าที่ทำงานด้วยเท่านั้น ทำให้รายได้ไม่แน่นอน ทั้งที่ทำงานหนัก แต่กลับไม่สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ จึงทำให้รู้สึกท้อและสับสน

ได้ลองย้ายไปบริษัทใหญ่ หวังว่าจะมีระบบที่ดีกว่า แต่ก็ยังเจอปัญหาเดิมๆ ระบบการตลาดที่ไม่เข้มแข็ง เทคโนโลยี Lead Generation ที่ไม่ดีพอ

พยายามหาบริษัทที่สามารถหาลูกค้าให้ได้ตลอด แต่ก็พบว่า บริษัทเหล่านั้นมีต้นทุนสูงมาก และอัตราความสำเร็จต่ำเพียง 1-2% เท่านั้น ซึ่งถึงจะปิดขายเก่งแค่ไหน หากลาออก แล้วไปสู้กับเขาในเกมส์เดียวกัน เราไม่มีวันชนะแน่
main-image
profile-avatar
Naowarat 7 วันที่แล้ว
แชร์ประสบการณ์

เปลี่ยนจากคำดูถูกเป็นความเชื่อใจ…วิธีสร้างความสัมพันธ์และปิดการขายให้ลูกค้าต่างชาติอย่างมืออาชีพ❤️🤝

“อู้ยย หนู ทำไมดำอย่างนี้จ๊ะ เป็นคนที่ไหนเนี่ย? มีแฟนฝรั่งหรือเปล่า ผิวแบบนี้ถูกใจฝรั่งแน่เลย…”

เจ้าของทรัพย์สูงอายุ ผิวขาวแบบคนจีน ใส่เครื่องประดับมีค่าเต็มตัว ซึ่งเป็นคนนัดให้ไปประเมินทรัพย์และเสนอแผน Exclusive listing ให้ที่คอนโดแห่งหนึ่ง เมื่อ 3 ปีที่แล้ว พูดและ แสดงออกกับผู้เขียนวันนั้น

ท่านั่งกอดอก ไขว่ห้าง มองด้วยหางตา แสดงออกชัดเจนว่าเขามีกำแพงแห่งความไม่เชื่อถือ และแสดงออกให้เห็นว่าเขามี “ความเหนือกว่า”

ขณะนำเสนอ เปิดคลิป YouTube ที่ผู้เขียนให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษให้ฟัง เขาฟังเข้าใจเป็นอย่างดีเพราะเป็นเจ้าของบริษัทที่ค้าขายกับต่างประเทศมาหลายสิบปี และพูดว่า ”ในคลิปนั่น พูดภาษาอังกฤษดีจัง เจ้านายเธอเหรอ?“

ในคลิปนั่น หน้าตาก็ไม่ได้ต่างจากผู้เขียนสักนิด แว่นเขาก็ใส่ แต่เพราะความตั้งใจที่จะคงความ “เหนือกว่า” เขาจึงใช้คำถามแบบนั้น

เราเองไม่ใช่พระอิฐพระปูน เจอเหยียดใส่เต็มๆ ก็ร้อนอก ร้อนหูวูบวาบเหมือนกัน Ego ของเราก็ทำงานดังก้องในหัว ”เหยียดชั้นรึ? ไม่ชอบแล้วจะเรียกให้มาทำไม?!“ และอยากจะลุกสะบัดก้นออกไปจากที่นั่นโดยเร็ว

โชคดีที่ไม่ได้ทำแบบนั้น และแก้ไขสถานการณ์เปลี่ยน first impression ของลูกค้าท่านนี้ได้สำเร็จ

นอกจากจะได้ Listing มาขาย ปิดได้ในราคาที่ดี ภายใน 3 เดือน ทรัพย์นั้นยังนำพาโอกาสในการเจอนักลงทุนต่างชาติดีๆ อีกมากมาย ให้มาทำงานกับผู้เขียนจนทุกวันนี้

และที่สำคัญ จากลูกค้าที่เคยมองด้วยสายตาเหยียด ไม่เชื่อใจ ทุกวันนี้จะขายอะไร จะซื้ออะไร ญาติโกโหติกา จะซื้อขายอสังหาฯ ต้องส่งให้ “น้องโอ๋” ทั้งนั้น

ผู้เขียนเพิ่งเริ่มเรียน International Business ได้ใบประกาศมาหนึ่งใบ และกำลังเรียนต่อในหัวข้อ International Business Essentials กับ University of London

สนใจเรียนเรื่องนี้ เพราะอยากเข้าใจในการทำธุรกิจกับคนทั้งโลก หลงใหลในการสร้างธุรกิจระดับ international ซึ่งเป็นกระบวนการยุ่งยาก และเป็นขั้นตอนมากกว่าการ base อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง กับความหลากหลายทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อน อ่อนไหว แต่หากเข้าใจในสองสิ่งนี้ได้ดี ก็เหมือนมีทั้งอิฐที่แข็งแกร่งและซีเมนต์คุณภาพดี ที่จะทำให้ธุรกิจเติบโต ก้าวหน้าไปได้อีกไกลแสนไกล

สิ่งที่น่าสนใจในคอร์สคือ นอกจากเนื้อหา จะมีทั้งเรื่องความเข้าใจในระบบเศรษฐกิจโลก เครื่องมือในการจัดการสถิติ จัดการข้อมูลการเงิน การบริหารและนำเสนอให้มีประสิทธิภาพแล้ว สิ่งสำคัญ ที่ถูกปูพื้นฐานอย่างแน่นหนา คือ การเรียนรู้ วิชา “คน”

เรียนรู้ผ่านการฟัง การอ่าน article บทสัมภาษณ์ของผู้มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจในต่างประเทศ ข้อมูลวิจัยของนักจิตวิทยา นักพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจ “คน” โดย “รู้ทัน” และสามารถจัดการระบบตัดสินอัตโนมัติของตนเองและผู้อื่น ให้สามารถเชื่อมต่อ ทำงานได้สำเร็จกับ “คน” จากหลากหลายที่มาและวัฒนธรรม

มนุษย์ตัดสินคนตรงหน้าเสมอค่ะ ในเวลาอันรวดเร็ว และอย่างเป็นอัตโนมัติ โดยเฉพาะเวลาที่เขาไม่มีอะไรทำ เช่น ในขณะที่เราพูดเสนอสินค้า และเขาต้องฟัง

เขาไม่ได้ฟังคุณหรอก สมองของเขา กำลังประมวลผลผ่านสาม Lens ต่อไปนี้ว่า คุณน่ะ

“ไว้ใจได้ไหม?“ อบอุ่น จริงใจ ดูเชื่อถือได้ หรือหลอกลวง ผ่าน Trust Lens
“ มีประโยชน์อะไรที่เขาต้องการหรือเปล่า?“ถ้าไม่มีอะไรตรงกับที่เขาอยากได้ สมองเขาก็ปิดรับ แม้ว่าตาเขาจะจ้องอยู่กับการนำเสนอของคุณก็ตาม โดยผ่าน Power Lens

และสุดท้าย “ คุณด้อยกว่า หรือเหนือกว่าเขา?” Ego Lens

ประมวลผลได้แล้ว หน้าตา คำพูด การกระทำ ต่อคุณก็จะสอดคล้องกับสิ่งที่เขาเห็นคุณ (Perception)

หากเข้าใจธรรมชาติความเป็นมนุษย์ การรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น จะไม่ได้ไปที่ความโกรธ และหงุดหงิดนานนัก แต่จะมีการเตรียมการ เพื่อรับมือกับชุดเครื่องจักรตัดสินที่ชื่อว่า “คน” ไปจากที่บ้าน มีความตื่นตัวรับรู้ว่าคู่สนทนา หรือกลุ่มคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ กำลังเกิดอะไรขึ้นในหัว และสามารถจัดการ เปลี่ยนสถานการณ์ให้กลับมาเป็นบวกต่อเป้าหมายได้อย่างทันท่วงที

เพราะถ้าครั้งแรก fail ในการสร้าง Possitive first impression แล้วแก้ไม่ทัน อาจไม่มีครั้งที่สองอีก

‘เชอะ! ไม่มีลูกค้าจอมเหยียดคนนั้น เราคงไม่อดตาย“

ถูกต้องค่ะ แต่มันคุ้มค่ากว่าไหม?หากเราเข้าใจ และจัดการกับ 3Lenses ของผู้คนตรงหน้า ได้ดี ไม่พ่ายแพ้ไปกับอารมณ์ เพราะนอกจากทำงานจะสำเร็จ เรายังเปิดกว้างในการรับลูกค้า และมีโอกาสที่เหลือเฟือจากผู้คนที่หลากหลาย แทนที่จะตอบสนองด้วยความโกรธและหลีกเลี่ยงไปเรื่อยๆ

ผู้เขียนเคยมีมุมมองว่า “คนไทย โดยเฉพาะผู้ใหญ่ ไม่ชอบเรา” เพราะ ท่าทางที่มั่นใจถูกประเมินว่าก้าวร้าวในมุมมองของผู้ใหญ่ และผิวคล้ำที่พ่อแม่ให้มา มักถูกตีความจากความเชื่อคนบางกลุ่มว่า “ผิวคล้ำ คือคนทำงานหนักกลางแดด คือคนจน คนไม่มีความรู้”

ในเมื่อคิดเอง ก็มองหาหลักฐานสนับสนุนบ่อยๆ จนอึดอัดเอง ที่จะทำงานกับคนกลุ่มนี้ ทั้งๆที่เขาคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชั้นดี ที่มีทรัพย์ดีๆ พร้อมขาย ให้เข้าไปดูแลนับไม่ถ้วน เนื่องจากอายุเยอะ เริ่มดูแลต่อไปไม่ไหว หากสามารถสร้างความไว้วางใจ ด้วยการเปิดสมองและจัดการ Lenses การตัดสินอัตโนมัติของพวกเขาได้สำเร็จ

วิธีชนะ 3 Lenses ของมนุษย์

คือการแสดงออก ให้เขารับรู้ว่า ตัวเรา อบอุ่น ปลอดภัย จริงใจ เพื่อจัดการ Trust Lens

คือการนำเสนอความเชี่ยวชาญ ความสามารถ ข้อดีของสินค้า ของตัวเรา ที่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ Power Lens

และการดำเนินการจัดการ ทั้ง 2 Lens นั้น ต้องไม่ทำให้เขารู้สึกว่าคุณสุภาพจนอ่อนแอ หรือเข้มแข็ง รู้เยอะจนเขารู้สึกไม่สุขสบายที่จะอยู่ใกล้ (intimidate) เพื่อให้ Ego Lens ทำงานได้อย่างสมดุลและเป็นประโยชน์กับเรา

แล้วผู้เขียนพูดออะไรกับลูกค้าท่านนั้น เมื่อหลายปีก่อน จึงได้งาน และมีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นมาจนทุกวันนี้ ทั้งๆที่ก็ตัวดำ ไม่น่าเชื่อถือ แต่กลับพูดจาชัดเจน ตรงไปตรงมา ข้อมูล การบ้านแน่นจนเจาะไม่เข้า มันกระตุ้นให้เขารู้สึกถูกกระทบกระเทือน จนต้องพยายามข่มเราด้วยการเหยียด และมีท่านั่งกอดอก ไขว่ห้างระหว่างสนทนา

“พี่จะเชื่อได้ยังไงว่าเธอจะขายห้องให้พี่ได้?”

“คุณพี่คะ มันยากจริงๆค่ะ ที่จะเชื่อว่าโอ๋จะขายทรัพย์ให้ได้สำเร็จ หลังจากที่คุณพี่และลูกๆได้ทดลองขายเองมาหลายปีแล้ว เพราะไม่มีใครการันตีได้เลยค่ะว่าเราจะขายได้ในราคาที่เราตั้งไว้ในขณะนี้ไหม“ Work กับ Ego Lens ว่าเราไม่ได้เก่ง เหนือความจริงจนเขาต้องรู้สึกอึดอัด

หรือพร่ำพูดแต่ความสำเร็จของตัวเอง จนเหมือนคนสับสน พ่นตามสคริปเพราะ “กลวง” ซึ่งเดี๋ยวเขาจะต้องลุกมา “ข่ม”

เพราะเขาเองก็เป็นคนเก่ง คนมีฐานะ การทำงานกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เขาไม่ถนัด ถึงแม้จะเข้ามาช่วยเขา มันก็ยังกระตุกความรู้สึกไม่ปลอดภัย และการแข่งขันให้เกิดขึ้นอยู่ดี

มันเป็นโครงการที่ใช้เวลาและความไว้ใจกันค่ะ และโอ๋ต้องเป็นคู่ธุรกิจที่พูดความจริงกับคุณพี่ได้ เมื่อไม่มีลูกค้าเลย เพื่อเราจะได้ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับตลาด ไม่ใช่โรยยาหอม ให้คุณพี่เข้าใจผิดว่าราคานี้เป็นไปได้

แค่เพราะกลัวว่าจะขัดใจ” Power Lens แสดงให้เห็นความสามารถในการเป็นคู่ธุรกิจที่ไว้ใจได้ เพราะสิ่งที่คน Powerful เจอมาตลอด และทำให้เขาไม่ได้ผลลัพธ์คือ คนกลัวที่จะพูดความจริงกับเขา จนเขาได้ข้อมูลผิด และตัดสินใจผิดพลาดในที่สุด

“เธอก็ลองเอาไปขายราคาที่พี่อยากได้ก่อนไม่ได้เหรอ?ถ้าสองอาทิตย์ไม่มีคนถามมาเลย เราค่อยว่ากัน”

“ ต้องขอภัยที่ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆค่ะ เพราะเหตุผลแรก ถ้าราคานี้ถูกต้อง ดึงดูดผู้ซื้อได้จริง คุณพี่คงไม่เรียกโอ๋มาแล้วค่ะ และเหตุผลที่สองคือ ในเมื่อโอ๋รู้ว่ามันไม่ได้ผล แต่กลับไม่กล้ายืนยันความจริง

แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรในการทำงานร่วมกันไปอีกหลายเดือนข้างหน้า กับคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่ไม่กล้าแม้แต่จะพูดความจริงกับคุณพี่ล่ะคะ” ยืนยันใน Fact และหลักการอีกครั้งเพื่อทำงานกับ Trust Lens

เพราะทุกคนพูดกันได้ตลอดเวลาว่า “ฉันไว้ใจได้นะ ฉันซื่อสัตย์” จนกระทั่งถึงเวลาที่จะต้องพูดความจริงที่น่าเกลียด (Ugly Truth) วินาทีนั้นแหละที่จะเห็นความจริงว่า ใครซื่อสัตย์และสามารถจัดการสื่อสารได้มีประสิทธิภาพมากกว่ากัน

สุดท้าย ท้ายสุด ผู้เขียนและคุณผู้อ่าน ก็ต้องเป็นตัวเองนั่นแหละค่ะ (Be Authentic) ผิวคล้ำ จะกลับไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้ พูดจาชัดเจน ตรงไปตรงมา เพราะถนัดแบบนี้ และเชื่อว่าดีต่อการสื่อสารกับทุกคน ชอบหาข้อมูลเยอะ ก่อนจะนำเสนออะไรออกไป และถ้าให้บิดเบี้ยวไปจากนี้ คงไม่ใช่ผู้เขียนแล้ว

เพียงแต่ ต้องยอมรับว่า “ทุกอย่างพัฒนาได้” และเราสามารถเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น มีประสิทธิผล ประสิทธิภาพสูงขึ้น เบาสบายในการเป็นตัวเองท่ามกลางผู้คนได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ขอบคุณที่อ่านจนจบ และขอให้ได้รับประโยชน์ไป

ใครลงเรียน Become The Agent 102 กับ Livinginsider.com ไว้ ก็พบกันพรุ่งนี้ช่วงบ่ายนะคะ กับ Session “ การขายอสังหาฯ ให้ลูกค้าต่างชาติ อย่างมืออาชีพ“ ที่ Centrepoint Terminal 21 ค่ะ
main-image
profile-avatar
Naowarat 1 เดือนที่แล้ว
แชร์ประสบการณ์

Leads Listing Leveraging! หัวใจสำคัญของงานเอเจนอสังหาฯ ที่ต้องท่องไว้เป็นมนตราประจำใจ❤️📌

วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ลงทะเบียนคอร์สเอเจนอสังหาฯ กับโค้ชชาวแคนาดา เพราะอยากรู้วิธีการทำงานของเอเจนที่นั่น และค้นหาว่าจะมีกลยุทธ์อะไรน่าสนใจมาปรับใช้ (Optimize) กับงานตัวเองบ้าง✍️💼

สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ เอเจนต่างชาติ สู้ยิบตาเรื่องการลงทุนทำการตลาด โดยเฉพาะ Leads Generation ทั้ง Paid Ads ทั้ง Organic และไม่ rely on วิธีใดวิธีหนึ่งที่ให้ผลลัพธ์ไม่ต่อเนื่อง Reels,Leads Magnet, Organic post, Boosting post, social medias ทุกช่องทาง จัดไปไม่มีพัก! ไปสุด และแน่นทุกช่องทาง

ใครว่าตัวเองขยันแล้ว เอเจนฝรั่ง แม่ม โคตรขยับ !!

ในเมื่อ Online 📲 คือช่องทางสำคัญ ดังนั้น การหาลูกค้าด้วยการ Door Knock, Cold calling, Referral, Open house ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมของงานเอเจน ก็ถูกจัดให้เป็นเรื่องที่ ทำได้ ถ้ามีเวลา แต่ต้องไม่ใช่แหล่งสำคัญอีกต่อไป เนื่องจากข้อด้อยในเรื่องของทรัพยากรเวลา และการวัดผล ที่ทำได้ยาก

สิ่งสำคัญที่ต้องสร้าง และดูแลให้ทำงานได้ดีเสมอ คือ Leads Generation machine ของตัวเอง ที่ต้องควานหาว่าที่ผู้ซื้อผู้ขาย ให้เข้ามาใน Marketing funnel, Sales funnel ทั้งยามหลับและยามตื่น

ไม่มี Leads ธุรกิจคือ จบ!

Leads Gen เพื่ออะไร?

อาชีพเรา ดึงดูดโอกาส และคนนับร้อย นับหมื่น เข้ามาหา ก็เพราะ Listings ค่ะ

"อยากได้ทรัพย์แบบนี้ มีขายไหม?" 💰

"ต้องการขายบ้าน ช่วยหน่อยได้ไหม?" 🏠

ถ้ามีชื่อ เบอร์โทร อีเมล์ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ลุยต่อเพื่อเข้าสู่กระบวนการนัดหมายได้ จะเซ็นสัญญา หรือพาชมทรัพย์ ก็ว่ากันไป

Listings ช่วยดึงดูดโอกาส และเป็นโมเมนตั้มสำคัญในการสร้างรายได้ในอาชีพ
แต่บางคน Listing เยอะ แต่ปิดไม่ค่อยได้ก็มี หากขาดระบบการสร้าง Listing คุณภาพ และยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน

และที่สำคัญ เอเจนส่วนใหญ่ ผลลัพธ์ไม่สม่ำเสมอ เพราะไม่มี Leveraging!

คุณเดินไปเชียงใหม่ด้วยขา คนเดียว อย่างไรก็ไปถึงค่ะถ้าไม่หยุดเดิน
แต่สภาพมันจะเป็นอย่างไร? เมื่อเปรียบเทียบกับเสียเงินอีกสักไม่กี่พัน ได้ตั๋วเครื่องบิน และเวลาชั่วโมงเดียวก็ไปถึง บินไปกลับวันนึงกี่รอบก็ได้ถ้ามีตั๋ว ในขณะที่คนเดินเท้า อาจจะมาถึงเชียงใหม่ ในสัปดาห์หน้า ทั้งๆที่ออกจากบ้านวันนี้ พร้อมกัน

CRM มีไหม? หรือยังใช้Excel ความจำ เศษกระดาษ สมุด อยู่หรือเปล่า?
เอเจน เป็นมนุษย์ที่ยุ่งมากที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง เพราะส่วนใหญ่ทำงานคนเดียว อยากประหยัดต้นทุน ถ้าไม่วางระบบดีๆ ก็จะสับสน วุ่นวาย Deal หลุดเอาง่ายๆ เพราะความสับสน ไม่เป็นระเบียบ

ทำไม Leveraging หรือระบบช่วยงานจึงสำคัญนัก?

100 Leads เข้ามา ก็ไม่ใช่จะขายได้ทุกคน อาจจะ Convert เป็นนัดหมายได้สัก 10 ปิดได้สัก 1 หรือ 2 แต่จะปิดเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้นะ โดยเฉลี่ย 3 -18 เดือน หรืออาจมากกว่านั้น จึงต้องทำงานสร้างความเป็นไปได้ไว้ตลอดเวลา ใครรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ อย่ามาเป็นเอเจน...

และที่น่าตกใจ นอกจาความท้ายทายของ Leads ที่ปิดยากแล้ว ปัจจัยการ Follow up ของเอเจนก็มีผลกับรายได้เข้าบริษัทอีกด้วย

Lead suck! and Agents follow up is SUCK! โค้ชเขาพูดแบบลอดไรฟันออกมา แสดงว่า มันเป็นกันทั้งโลกนะ

และการติดตามลูกค้า ที่มีสัญญาณว่าสนใจ ซื้อ หรือ ขาย อสังหาฯ กว่าจะปิดกันได้ เฉลี่ยแล้วต้อง Follow up กันถึง 20 ครั้ง! OMG!!!

จะมีเวลานั่งตามกันไหมล่ะ!? ไม่ตอบแชท ไม่รับโทรศัพท์ 2-3 ครั้ง ก็ทิ้งแล้ว โดยเฉพาะเอเจนในทีมที่เขาไม่ได้ลงทุนค่า Lead เอง รอรับจากบริษัทอย่างเดียว เขาไม่ตามหรอกค่ะ เพราะไม่ใช่เงินเขา

แต่คนที่สำเร็จเยอะๆ ค่าคอมมิชชั่นหลัก 30-40 ล้านต่อปี เขาไม่ทิ้งไง เขาสร้างระบบการติดตามดูแลลูกค้า CRM + ผู้ช่วย จึงสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ต่อเนืองได้ และนั่นล่ะ ที่เรียกว่า Leveraging

เอเจนเปลี่ยนตลอด Turn over โคตรสูง แต่ระบบภายในเราต้องแข็งแรง ลูกค้าของเราคือลูกค้าของเรา จ่ายไป Lead ละพัน ก็ต้อง Follow up until Death! จริงไหม?

ระบบที่สร้าง ต้องสร้างเงินได้อย่างต่อเนื่องแบบ Auto pilot ไม่ใช่เป็นเอเจน แล้วห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามเลิกทำงาน... Thats suck!

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคลาสเรียนคือ หลายสิ่งเรารู้ ไม่ได้น้อยหน้าเอเจนชาติใดในโลก ความรู้เรื่องเทคโนโลยีบางอย่าง เรารู้ลึกกว่าคนสอนและเพื่อนร่วมคลาสด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้ตัวผู้ขียนเอง ยังไม่ประสบความสำเร็จแบบทะลุทะลวงอย่างที่ตั้งใจ คือ " ประสิทธิภาพของระบบ" ที่ต้องกลับมา Optimizing strategy กันต่อไป 💞

เวลาของมนุษย์เรามีจำกัด ⏳⏱️

ดังนั้น ต้องโฟกัส ทำในสิ่งที่เราถนัดและต้องเป็นเราเท่านั้นที่จะเป็นคนทำ 1 action ของเรา ต้อง Leverage ให้เกิดรายได้เข้าบริษัท ไม่ใช่แค่ความประหยัด และมีคุณค่าแค่จัดการงานหนึ่งให้จบไปจากโต๊ะเท่านั้น 🌟⭐

So, I hope you guys plan well for your awesome week!

Leads Listing Leveraging.

See you at the TOP. 💫
main-image
profile-avatar
Naowarat 2 เดือนที่แล้ว
ความรู้
main-image
profile-avatar
Naowarat 2 เดือนที่แล้ว
แชร์ประสบการณ์

คุณเคยถามตัวเองไหม❓ ว่าอะไรที่คุณชอบที่สุด และเกลียดที่สุด ในงานเอเจนต์?

ช่วงนี้ กำลังคิด วางแผน หาทุนทำโปรเจคใหม่ค่ะ ดังนั้น ก็จะนั่ง เดิน ยืน นอน กับสิ่งที่จะทำ มีไอเดียอะไรแว๊บออกมา ก็จะหยุดจดใส่สมุด ใส่โทรศัพท์ แล้วแต่ว่าอะไรอยู่ใกล้มือ หมกมุ่นมากจนฝันว่า ส่ง Executive Summary แล้ว VC ให้ feed back กับ คีย์เวิร์ดกลับมา ✨

หากใครคิดว่า อายุ ภาระเรื่องลูกเต้า ครอบครัว หรือไม่มีเงินทุน เป็นเรื่องจำกัด รับรอง คุณต้องคิดว่าผู้หญิงคนนี้บ้ามากๆแน่ๆ คุณสามารถตัดสิน ตกใจ ไม่เห็นด้วยได้ตามสบายเลยค่ะ เพราะมันเป็น เรื่องของคุณ แต่ถ้าคอมเม้นลบมากๆ ก็จะลบนะคะ

แต่หากใครรู้สึกสั่นสะเทือนกับโพสนี้ในเชิงบวก รู้สึกว่ามันเชื่อมกับสิ่งที่คุณตามหา ก็อ่านต่อนะคะ🔎👀

โอ๋จะไม่เล่าให้คุณฟังหรอกว่า โอ๋กำลังจะทำอะไร เพราะหน้าที่ของโอ๋คือรักษาความฝันของตัวเองไว้ให้ดี ให้มันก่อตัวได้เต็มที่ จนออกมาเป็นความจริง ในโลก 3 มิติ แล้วจึงอนุญาตให้โลกเห็น

แต่สิ่งที่อยากจะแชร์วันนี้ กับชุมชนคนทำงานเอเจน อาชีพที่รัก ที่สร้างโอ๋มาจนถึงวันนี้ ซึ่งพี่น้องบางคนอาจเคยคิดว่า เรามันก็แค่คนตัวเล็กๆ ทำงานรับค่าคอมมิชชั่นที่ไม่มีอำนาจต่อรอง แถมรายได้ก็ขึ้นๆลงๆ จนรู้สึกไม่มีความมั่นคงภายใน ใช้ชีวิตอยู่กับภาวะกลัวเงินหมด เงินไม่พอ เบื่อ(ว่ะ) แต่ไม่รู้จะทำอะไรได้อีก ไ่ม่รู้จะไปไหน ได้กลับมาสัมผัสความจริงในใจตัวเอง ว่า "คุณคือใคร" และกลับไปเป็น คนที่คุณเป็นจริงๆ ที่มีพลัง มีชีวิตชีวาในทุกวัน อย่างไม่แคร์ข้อจำกัดใด

หลายปี ที่คุณซึ่งกำลังอ่านบทความนี้ ทำงานเอเจนมา คุณเคยถามตัวเองไหม ว่าอะไรที่คุณชอบที่สุด และเกลียดที่สุด ในงานนี้?
บางคนอาจจะนั่งเขียนได้เป็นหน้าๆเลยล่ะค่ะ เพราะผ่านอะไรมาเยอะ โอ๋ก็เหมือนกัน

และเคยถามตัวเองต่อไหม? ตอนเห็นรายการสิ่งที่เกลียดนั้น ทำไมคุณจึงยังอยู่กับสิ่งนั้นล่ะ? ทำไมไม่ลงมือแก้ไข หรือทำอะไรสักอย่าง?

คำตอบอาจเป็น ต้องยอมทนเพราะไม่รู้จะไปไหน? ไม่รู้จะแก้อย่างไร? หรือ สิ่งที่ชอบมันเยอะกว่า เลยอยู่ได้ หรือ รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอ ทนไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เลิกทำแล้ว ได้เงินเก็บพอแล้ว ก็จะไป


คุณชอบตัวเองในทุกๆวัน ที่ทำงานนี้ไหม? อยากเด้งดึ๋งจากเตียงขึ้นมาทำทุกวันหรือเปล่า? และแม้ในวันที่ล้าทั้งกายใจ จนลุกแทบไม่ไหว แต่ยังมีใจจะเร่งฟื้นฟูตัวเอง เพื่อกลับมาสู้ต่อ คุณเป็นคนๆนั้น อยู่ใช่ไหม?

อะไรที่เป็น Anchor หรือสมอเรือ ที่ทำให้คุณยังทำสิ่งที่ทำอยู่ และถ้าตอบได้แค่ว่า "เงิน" ก็นับว่าเบาไป และไม่แข็งแรงระดับสมอเรือในชีวิตคุณแน่นอน

โอ๋ค้นพบว่า ถ้าเราได้ทำ ในสิ่งที่เรารัก เราเป็นจากข้างในจริงๆ แรงต้านจะน้อย ปัญหาต่อให้ใหญ่แค่ไหน ก็จะกลายเป็นเรื่อง ขี้หมา ถ้าความรัก และธรรมชาติในตัวตนที่แสดงออกมานั้นมีขนาดใหญ่กว่า

งานเอเจนอสังหาฯ เป็นแค่เครื่องมือหรือเวที ให้คุณได้แสดงตัวตนของคุณออกมา เหมือนอาชีพเก่าๆที่คุณเคยทำอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าสถานการณ์ และสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่อนุญาตให้ตัวคุณได้แสดงความเป็นตัวเอง ได้บรรเลงความฝัน ความรัก ความสนใจ ที่มีในตัวตนอย่างเต็มที่ แล้วคุณก็ไม่จัดการอะไรกับมัน ตัวคุณก็จะเป็นแค่ซอมบี้ตัวหนึ่ง ที่จะ Burn out และป่วยตายไปในที่สุด

โอ๋อาจจะโชคดีกว่าบางคน ที่ไม่ใช่ Agreeable person ถึงมีนิสัย ชอบให้ ชอบแบ่งปัน แต่ก็ไม่ใช่คนที่Yes Yes ไปเสียทุกอย่าง และยืนอยู่ได้กับการถูกตัดสิน นินทาสารพัดชนิดว่า สุดโต่ง โลกสวย เว่อร์ บ้าอำนาจ ประหลาดและ บลาๆๆๆ ดังนั้น ความฝันที่เหมือนไฟนำทาง จึงไม่เคยถูกดับด้วยน้ำลายของใคร สิ่งใดที่เคยไม่ชอบ จนเปลี่ยนมาเป็นโปรเจคที่อยากทำ อยากเปลี่ยนแปลง แก้ไข จึงยังถูกฟูมฟักอย่างดีมาเสมอ เหมือนไข่นกฟีนิกซ์ในตู้อบรอวันฟักตัว

📍"This is what I believe,and I will do it my way. I dont give a F**k what other people think or say about me. "

สิ่งที่ต้องการ อาจยังไม่เกิดขึ้นวันนี้ แต่เป็นอีกสิบปีข้างหน้า ก็รอได้ อดทนได้ รู้ว่า ภายในนั้นพร้อมเสมอ และรู้ว่าต้องบากบั่น ฝึกตัว เตรียมตน เก็บข้อมูล เรียนรู้ ก่อสร้างปัจจัยภายนอก ให้พร้อมในทุกมิติเมื่อโอกาสมาถึง

คุณอาจจะเคย Bitter เหม็นขี้หน้า คนที่สร้างบริษัทขนาดใหญ่กว่า ที่ประสบความสำเร็จเร็วกว่าคุณ ปิดได้เยอะกว่าคุณ แล้วเอามาด้อยค่าตัวเองว่า "ก็ฉันไม่เงินอย่างนั้นนี่" "ก็ฉันไม่มีความรู้แบบนั้นนี่" "ก็ฉันมันโชคร้ายเกิดมาใต้ดวงดาวแห่งความขาดแคลนนี่ เลยทำไม่ได้"

แต่เคยถามตัวเองไหม? ถ้าเป็นบริษัทหรือธุรกิจของฉันเอง ฉันจะสร้างให้มันจะเป็นอย่างไร? ระบบจะขับเคลื่อนอย่างไร? การบริหารจะมีภาพอย่างไร? ลูกค้าคุณจะเป็นใคร? พวกเขาจะชอบทำงานกับคุณแค่ไหน? คนทำงานกับคุณจะรุ้สึก และมีสีหน้ายิ้มแย้ม แจ่มใส เชื่อมั่นในตัวเองอย่างไร? เมื่อได้อยู่ในพื้นที่ของคุณ

เคยมีฝันกลางวันแสนอร่อยกับตัวเองแบบนี้บ่างไหมล่ะ?🙌

โพสนี้ คงช่วยกระตุกใจให้คิด และมีอารมณ์ในการพูดกับตัวเองแบบใหม่ ด้วยชุดคำพูดทที่สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อโน้มน้าวตัวเอง ให้มีการลงมือทำแบบใหม่ สอดคล้องกับตัวตนแท้จริงที่เป็น

และสัญญานะ ว่าอย่าคิดเล็กเกินไป

ตัวหนังสือของโอ๋ ยังมีข้อจำกัด แต่เชื่อว่าเราสัมผัสกันได้ที่หัวใจ

โอ๋ขอสนับสนุนให้คุณได้เชื่อมต่อกับตัวเองจริงๆ โดยวาง เงิน และข้อจำกัดทั้งปวงไว้ข้างๆ

เพราะคุณไม่รู้หรอก ว่าตัวเองนั้นทรงพลังมากแค่ไหน จนกว่าจะได้เต้นรำไปกับตัวเองอย่างแท้จริงสักครั้ง

✨Love You ✨
main-image
profile-avatar
Naowarat 2 เดือนที่แล้ว